คู่มือการเลือกซื้อเตาอบไฟฟ้า ฉบับเข้าใจง่ายสำหรับมือใหม่

เลือกซื้อเตาอบไฟฟ้า

การเลือกซื้อเตาอบไฟฟ้าสักเครื่องอาจดูเป็นเรื่องซับซ้อนสำหรับมือใหม่ แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องยากหากเราเข้าใจหลักการสำคัญ การมีเตาอบที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยรังสรรค์เมนูได้หลากหลาย แต่ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับห้องครัวของเรา บทความนี้จึงเป็นคู่มือที่จะช่วยให้การเลือกซื้อเตาอบไฟฟ้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยจะอธิบายถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เราควรพิจารณา เพื่อให้ได้เตาอบที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

การเลือกซื้อเตาอบไฟฟ้า

การเลือกซื้อเตาอบไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งานในครัวเรือนจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานหลายด้าน การทำความเข้าใจในรายละเอียดต่าง ๆ จะช่วยให้เราสามารถจำกัดตัวเลือกและตัดสินใจเลือกเตาอบที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำอาหารของเราได้ดียิ่งขึ้น ทำให้การลงทุนครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่าในระยะยาว

1. รู้จักประเภทของเตาอบไฟฟ้า

ก่อนตัดสินใจสิ่งแรกที่ควรทำความเข้าใจคือประเภทของเตาอบไฟฟ้า ซึ่งโดยหลักแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ เตาอบแบบตั้งโต๊ะและเตาอบแบบฝัง การทราบความแตกต่างของเตาอบทั้งสองชนิดจะช่วยให้เราเลือกได้สอดคล้องกับพื้นที่ในครัวและลักษณะการใช้งานได้อย่างลงตัว เพื่อให้การทำอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น

เตาอบไฟฟ้าตั้งโต๊ะ (Countertop Oven)

เตาอบประเภทนี้มีขนาดกะทัดรัด เคลื่อนย้ายสะดวก และไม่ต้องการการติดตั้งที่ซับซ้อน เหมาะสำหรับครัวที่มีพื้นที่จำกัดหรือผู้ที่เริ่มต้นทำเบเกอรีและอาหารอบต่าง ๆ แม้ความจุจะไม่มากเท่าแบบฝัง แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปในครัวเรือน เช่น การอุ่นอาหาร อบขนมปัง หรือย่างเนื้อสัตว์ชิ้นเล็ก ๆ เป็นตัวเลือกที่สะดวกและเริ่มต้นใช้งานได้ง่าย

เตาอบไฟฟ้าแบบฝัง (Built-in Oven)

เตาอบแบบฝังถูกออกแบบมาเพื่อติดตั้งเข้ากับชุดครัวหรือผนังโดยเฉพาะ ทำให้ครัวดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความจุขนาดใหญ่กว่าและมักมาพร้อมฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายกว่าเตาอบตั้งโต๊ะ เหมาะสำหรับผู้ที่ทำอาหารเป็นประจำและต้องการเตาอบที่รองรับการทำอาหารปริมาณมากหรือเมนูที่ซับซ้อน ให้ความร้อนที่คงที่และมีความแม่นยำสูง

2. ขนาดและความจุเตาอบ

ขนาดและความจุเตาอบ

ความจุของเตาอบมีหน่วยเป็นลิตรควรเลือกให้เหมาะสมกับจำนวนสมาชิกในครอบครัวและปริมาณอาหารที่ทำเป็นประจำ หากเราอยู่คนเดียวหรือเป็นครอบครัวเล็ก เตาอบความจุ 15-30 ลิตรอาจเพียงพอ แต่สำหรับครอบครัวใหญ่หรือผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารเลี้ยงสังสรรค์ ควรพิจารณาเตาอบที่มีความจุ 50 ลิตรขึ้นไป เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายและสะดวกสบายกว่า

3. ฟังก์ชันที่ควรมีในเตาอบไฟฟ้า

นอกจากการให้ความร้อนพื้นฐานควรพิจารณาฟังก์ชันเสริมที่ช่วยให้การทำอาหารสะดวกขึ้น เช่น โปรแกรมปรุงอาหารอัตโนมัติ ฟังก์ชันย่าง (Grill) สำหรับสร้างสีสันให้อาหาร ระบบพัดลมกระจายความร้อน (Convection) ที่ช่วยให้อาหารสุกทั่วถึงและรวดเร็ว  

4. พลังงานและความปลอดภัย

ควรเลือกรุ่นที่ระบุการใช้พลังงานอย่างชัดเจนเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในระยะยาว ด้านความปลอดภัย ให้สังเกตวัสดุที่ทนทานและมีฉนวนกันความร้อนที่ดี ประตูกระจกนิรภัยหลายชั้นจะช่วยป้องกันความร้อนออกมาด้านนอก และระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิสูงเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งระบบสำคัญที่ช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้งานให้กับทุกคนในบ้าน

5. ยี่ห้อและงบประมาณ

วิธีเลือกซื้อเตาอบไฟฟ้า

การกำหนดงบประมาณไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้เราจำกัดตัวเลือกให้แคบลงได้ง่ายขึ้น ควรเลือกซื้อจากยี่ห้อที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในเรื่องคุณภาพของเครื่องครัว เพราะมักจะมาพร้อมกับการรับประกันและบริการหลังการขายที่น่าเชื่อถือ การลงทุนกับแบรนด์ที่ไว้ใจได้จะช่วยให้เราใช้งานเตาอบได้อย่างสบายใจและยาวนานยิ่งขึ้น

การเลือกซื้อเตาอบไฟฟ้าที่ดีต้องพิจารณาทั้งประเภท ขนาด ฟังก์ชัน และความปลอดภัยให้สอดคล้องกับการใช้งาน การตัดสินใจอย่างรอบคอบจะทำให้ได้เตาอบที่ใช่และอยู่กับเราไปอีกนาน สำหรับผู้ที่มองหาเครื่องครัวคุณภาพสูง Tecnogas มีเตาอบหลากหลายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกการทำอาหารและเติมเต็มห้องครัวให้สมบูรณ์แบบ

วิธีอบผลไม้แห้งโดยใช้เตาอบ ทำง่าย ประหยัดเวลา เนื้อสัมผัสดี

ผลไม้อบแห้ง

การทำผลไม้แห้งไว้รับประทานเป็นของว่างเพื่อสุขภาพไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะเตาอบในครัวเรือนสามารถเปลี่ยนผลไม้สดให้กลายเป็นของว่างชั้นดีได้ง่าย ๆ บทความนี้ จะนำเสนอวิธีอบผลไม้แห้งที่ทุกคนทำตามได้ เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มในอย่างลงตัว พร้อมแนะนำเคล็ดลับในแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด ตั้งแต่การเลือกผลไม้ไปจนถึงการเก็บรักษา เพื่อให้เราได้ผลไม้แห้งที่อร่อยและเก็บไว้ได้นานที่สุด

วิธีอบผลไม้แห้งโดยใช้เตาอบ

วิธีอบผลไม้แห้งด้วยเตาอบเป็นเทคนิคที่ช่วยถนอมอาหารและเพิ่มรสชาติความอร่อยไปพร้อมกัน เพียงทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ทั้ง 8 ขั้นตอนนี้ เราก็สามารถสร้างสรรค์ผลไม้แห้งโฮมเมดที่สะอาด ปลอดภัย และมีเนื้อสัมผัสตามต้องการได้ไม่ยาก ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดที่สำคัญแตกต่างกันไป

1. เลือกผลไม้สดที่คุณต้องการอบ

จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการเลือกผลไม้ที่สดใหม่และมีความสุกกำลังดี เนื้อต้องไม่แข็งหรือเละเกินไป ผลไม้ที่นิยมนำมาทำผลไม้แห้ง ได้แก่ กล้วย แอปเปิล มะม่วง สับปะรด สตรอว์เบอร์รี หรือแอปริคอต การเลือกผลไม้ที่มีคุณภาพดีจะส่งผลโดยตรงต่อรสชาติและเนื้อสัมผัสของผลไม้แห้งที่ได้ ทำให้มีความหวานตามธรรมชาติและกลิ่นหอมชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งรสชาติเพิ่มเติม

2. ล้างและหั่นผลไม้ให้บางเท่ากัน

นำผลไม้ที่เลือกไว้มาล้างทำความสะอาดให้หมดจดและซับให้แห้ง จากนั้นหั่นผลไม้เป็นชิ้นบาง ๆ ที่มีความหนาเท่ากันทุกชิ้น โดยความหนาที่แนะนำคือประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร การหั่นให้มีความหนาสม่ำเสมอเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ผลไม้ทุกชิ้นแห้งพร้อมกันอย่างทั่วถึง ป้องกันปัญหาบางชิ้นไหม้ในขณะที่บางชิ้นยังแฉะอยู่ การใช้อุปกรณ์ช่วยหั่นจะทำให้งานนี้ง่ายขึ้น

3. แช่ในน้ำเกลือหรือน้ำมะนาว

สำหรับผลไม้บางชนิด เช่น แอปเปิล หรือกล้วย ซึ่งมักจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเมื่อสัมผัสกับอากาศ เราสามารถป้องกันปัญหานี้ได้โดยการนำผลไม้ที่หั่นแล้วไปแช่ในน้ำที่ผสมน้ำมะนาวหรือเกลือเล็กน้อย ประมาณ 5-10 นาที กรดอ่อน ๆ จะช่วยรักษาสีสันของผลไม้ให้ดูสดใสน่ารับประทานหลังจากการอบเสร็จสิ้น จากนั้นนำขึ้นมาซับน้ำส่วนเกินออกเบา ๆ ให้แห้งหมาด

4. เรียงผลไม้ลงบนถาดอบ

นำผลไม้ที่เตรียมไว้มาเรียงลงบนถาดสำหรับอบที่รองด้วยกระดาษรองอบ หรือวางบนตะแกรงโดยตรง ข้อควรระวังคือการจัดเรียงผลไม้แต่ละชิ้นไม่ให้ซ้อนทับหรือสัมผัสกัน ควรเว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อให้ลมร้อนสามารถไหลเวียนรอบชิ้นผลไม้ได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะช่วยให้ความชื้นระเหยออกไปได้อย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ผลไม้แห้งสนิทและมีเนื้อสัมผัสที่ดี

5. ตั้งอุณหภูมิเตาอบต่ำ ๆ

ตั้งอุณหภูมิเตาอบต่ำ ๆ

หัวใจของวิธีอบผลไม้แห้งคือการใช้ความร้อนต่ำเป็นเวลานาน เพื่อค่อย ๆ ไล่ความชื้นออกจากผลไม้ ไม่ใช่การปรุงให้สุก เราควรตั้งอุณหภูมิเตาอบไว้ที่ประมาณ 50-80 องศาเซลเซียส หากเตาอบมีระบบพัดลม (Convection) ควรเปิดใช้งานเพื่อช่วยกระจายความร้อนให้ทั่วถึง เทคนิคเพิ่มเติมคือการแง้มฝาเตาอบไว้เล็กน้อย เพื่อให้ไอน้ำและความชื้นระบายออกมาได้สะดวกยิ่งขึ้น

6. กลับด้านผลไม้เป็นระยะ ๆ

ในระหว่างกระบวนการอบ ควรหมั่นตรวจสอบและกลับด้านชิ้นผลไม้ทุก ๆ 30-60 นาที เพื่อให้ผลไม้ทั้งสองด้านสัมผัสกับความร้อนอย่างสม่ำเสมอ การกลับด้านจะช่วยป้องกันไม่ให้ผลไม้ติดถาดหรือตะแกรง และช่วยให้ความชื้นระเหยออกไปจากทุกส่วนอย่างเท่าเทียมกัน ทำให้ได้ผลไม้แห้งที่มีความแห้งสม่ำเสมอทั่วทั้งชิ้น ไม่มีส่วนใดที่ยังคงความชื้นหลงเหลืออยู่

7. ตรวจสอบความแห้ง

ระยะเวลาในการอบจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิด ความหนา และปริมาณน้ำในผลไม้ โดยทั่วไปอาจใช้เวลาตั้งแต่ 4 ถึง 8 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น เราสามารถตรวจสอบว่าผลไม้แห้งได้ที่แล้วหรือยังโดยการหยิบออกมาพักให้เย็นสักครู่ แล้วลองสัมผัสดู เนื้อสัมผัสที่ดีควรจะแห้งแต่ยังคงความนุ่มยืดหยุ่นอยู่เล็กน้อย ไม่แข็งกระด้างหรือมีลักษณะกรอบจนแตกหัก

8. เก็บในภาชนะปิดสนิท

หลังจากนำผลไม้แห้งออกจากเตาอบแล้ว ต้องปล่อยให้เย็นสนิทที่อุณหภูมิห้องเสียก่อน เพราะการเก็บขณะที่ยังอุ่นจะทำให้เกิดไอน้ำและเชื้อราได้ เมื่อผลไม้เย็นสนิทแล้ว ให้นำไปเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทและไม่ให้อากาศเข้า เช่น โหลแก้ว หรือถุงซิปล็อก แล้วนำไปเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น ไม่โดนแสงแดดโดยตรง จะสามารถรักษาคุณภาพและรสชาติไว้ได้นานหลายเดือน

วิธีอบผลไม้แห้ง

วิธีอบผลไม้แห้งด้วยเตาอบเป็นกระบวนการที่ไม่ซับซ้อน ช่วยให้เราควบคุมความสะอาดและรสชาติได้เต็มที่ การใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่การเลือกผลไม้จนถึงการเก็บรักษาจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การมีอุปกรณ์เครื่องครัวคุณภาพ โดยเฉพาะเตาอบที่ควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำจาก Tecnogas จะช่วยให้การทำผลไม้แห้งเป็นเรื่องง่ายและสนุกยิ่งขึ้น ได้เนื้อสัมผัสที่สมบูรณ์แบบทุกครั้ง

Follow Us

TEL. 02-274-3434
EMAIL : webmaster@sbo-brand.com

The Signature Brand Co., Ltd. 
771 Pracha Uthit Road, Samsen Nok,Huai Khwang District, Bangkok 10310