อบขนมเสร็จแล้ว เนื้อขนมปังหรือเนื้อเค้กที่ได้กลับไม่นุ่มฟู มีเนื้อแข็ง หรือสุกไม่ทั่วถึง ทั้ง ๆ ที่ชั่งตวงวัตถุดิบตามสูตรเป๊ะ ๆ แล้ว นั่นอาจเกิดจากการตั้งอุณหภูมิของเตาอบขนมไม่เหมาะสม หรือเลือกเทคนิคการอบเค้ก หรือวิธีอบขนมไม่เหมาะสมกับชนิดของขนมนั้น ๆ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ด้วย 5 เทคนิคอบขนมปังที่จะทำให้ได้เนื้อขนมนุ่มฟู อร่อยน่าทาน เหมือนมืออาชีพทำเอง
จะเห็นได้ว่า อุณหภูมิในการอบขนมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เนื้อขนมอร่อยนุ่มฟู ผู้ทำขนมจึงควรเลือกใช้เตาอบขนมที่ได้มาตรฐาน สามารถให้อุณหภูมิความร้อนคงที่ และมีฟังก์ชันใช้งานที่หลากหลาย ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ ซึ่ง Tesnogas เป็นอีกหนึ่งแบรนด์เตาอบขนมจากอิตาลีที่ไม่ควรพลาด การันตีด้วยประสบการณ์การให้บริการยาวนานกว่า 60 ปี

อุณหภูมิที่เหมาะสมในการอบขนม
ขนมแต่ละชนิด จะใช้อุณหภูมิและเวลาในการอบขนมที่แตกต่างกัน การตั้งอุณหภูมิของเตาอบ และเวลาที่ใช้อบขนมให้เหมาะสมกับชนิดของขนมนั้น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้เนื้อขนมที่นุ่มฟู อร่อยน่าทาน เช่น- คุกกี้ ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 300 – 350 ฟาเรนไฮต์ / 150 – 180 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 15 – 20 นาที
- เอแคลร์ ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 400 – 420 ฟาเรนไฮต์ / 200 – 210 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 12 นาที
- ขนมปังแบบใส่ถาด ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 400 – 420 ฟาเรนไฮต์ / 200 – 210 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 15 นาที
- ขนมปังแบบใส่พิมพ์ ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 350 – 375 ฟาเรนไฮต์ / 180 – 190 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 20 – 30 นาที
- สปันจ์เค้ก ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 350 – 400 ฟาเรนไฮต์ / 180 – 200 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 30 – 40 นาที
- เค้กปอนด์ ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 300 – 350 ฟาเรนไฮต์ / 150 – 180 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 40 – 60 นาที
- บราวนี่ ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 350 – 375 ฟาเรนไฮต์ / 180 – 190 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 25 – 30 นาที