5 เทคนิคกินผักและผลไม้ให้ถูกวิธี

5 เทคนิคกินผักและผลไม้ให้ถูกวิธี

คนยุคใหม่เริ่มหันมาใส่ใจอาหารการกินมากขึ้น โดยเฉพาะการกินผักและผลไม้ ซึ่งอุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าหากต้องการให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากผักและผลไม้มากที่สุด จะต้องกินอย่างถูกวิธี วันนี้ Tecnogas มีเทคนิคการกินผักและผลไม้ให้มาฝาก ให้คุณกินได้อย่างถูกต้อง ได้ประโยชน์แบบจัดเต็ม

เทคนิคกินผักและผลไม้ให้ประโยชน์แบบจัดเต็ม

เทคนิคกินผักและผลไม้ให้ประโยชน์แบบจัดเต็ม

1. กินผักให้ได้ 400 กรัม/วัน

ควรกินผักผลไม้ให้ถึง 400 กรัมต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่สามารถเฉลี่ย 400 กรัมไปตามมื้อต่าง ๆ ได้ หากไม่มีตาชั่ง สามารถกะปริมาณด้วยฝ่ามือได้ เพราะสองฝ่ามือของผู้ใหญ่ประกอบการจะเทียบเท่าผักปริมาณ 100 กรัม 

2. กินผัก 3 ส่วน ผลไม้ 2 ส่วน

เราควรแบ่งสัดส่วนการกินผักและผลไม้ต่อวันเพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ อย่างที่บอกไปในข้อแรกว่าใน 1 วัน ควรกินผักผลไม้ให้ได้ 400 กรัมต่อวัน ซึ่งใน 400 กรัม ควรกินผักให้ได้ 3 ส่วน และผลไม้ 2 ส่วน โดยเป็นผักปรุงสุก 4-6 ทัพพี และผลไม้อีก 1-2 ผล

3. กินผักผลไม้ให้ถูกช่วงเวลา

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการกินผักและผลไม้ก็ต้องเลือกกินให้ถูกช่วงเวลา โดยแต่ละช่วงเวลาจะมีวิธีการกินที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ตอนเช้า เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการอาหารไปบำรุงสมอง แนะนำให้กินผลไม้ 2 ชั่วโมงหลังอาหาร เพื่อให้อาหารย่อยให้หมดก่อน หากกินหลังอาหารทันทีจะทำให้ย่อยไปสู่ลำไส้ได้ช้า เป็นที่มาของการเกิดอาการจุด เสียด แน่นท้อง หรืออาการท้องอืดท้องเฟ้อนั่นเอง
  • ตอนกลางวัน เป็นช่วงที่เราสามารถกินผลไม้หวาน ๆ ได้ เช่น กล้วย มะม่วง เป็นการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อช่วยย่อยอาหาร และเติมความสดชื่นให้ร่างกายตื่นจากความเหนื่อยล้าระหว่างวัน 
  • ตอนเย็น เป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูร่างกายจากความอ่อนล้าตลอดทั้งวัน แนะนำให้กินผักและผลไม้ เช่น บรอกโคลี แก้วมังกร แต่ควรหลีกเลี่ยงการกินผักและผลไม้ใกล้กับช่วงเวลาเข้านอน เพราะจะตกค้างอยู่ในลำไส้ ทำให้ลุกขับถ่ายกลางดึก ดังนั้นควรรอให้ย่อยก่อนประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วจึงเข้านอน

4. เลี่ยงผักผลไม้น้ำตาลสูง

แม้ว่าผักและผลไม้จะอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ แต่ผักและผลไม้บางชนิดกลับมีน้ำตาลสูง เมื่อกินเข้าไปแล้วก็อาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ที่กำลังลดน้ำหนักต้องระวังผักผลไม้เหล่านี้ เช่น ข้าวโพด มะม่วง ละมุด ทุเรียน และหันมากินผักผลไม้ที่น้ำตลาดที่ไม่สูงมาก เช่น ฝรั่ง แอปเปิลเขียว คะน้า หรือบรอกโคลี 

5. กินผักและผลไม้ให้ครบ 5 สี

ผักและผลไม้ต่างสีก็ให้สารอาหารที่ต่างกัน เราจึงควรกินผักผลไม้ให้ครบ 5 สี เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลาย ป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น 

  • สีเขียว เช่น คะน้า ผักบุ้ง ผักกาดขาว ฝรั่ง แอปเปิลเขียว กลุ่มนี้จะมีสารคลอโรฟิลล์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีใยอาหารสูงช่วยเรื่องระบบขับถ่ายและบำรุงผิวพรรณ รวมทั้งป้องกันการเกิดมะเร็ง 
  • สีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม สตรอเบอร์รี่ กลุ่มนี้จะมีสารไลโคปีน ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • สีส้ม-เหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ส้ม สัปปะรอด กลุ่มนี้มีสารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและการมองเห็น รักษาหัวใจและหลอดเลือด
  • สีม่วง-น้ำเงิน เช่น มันม่วง เผือก องุ่น กะหล่ำปลีม่วง กลุ่มนี้จะมีสารแอนโทไซยานิน ช่วยยับยั้งและต้านการอักเสบในร่างกาย ป้องกันการเกิดมะเร็ง
  • สีขาว-น้ำตาล เช่น หัวไชเท้า กระเทียม พุทรา ขิง กลุ่มนี้จะมีสารอัลลิซินและแซนโทน ช่วยลดการเกิดเนื้องอก ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเส้นเลือด


การกินผักและผลไม้เป็นเรื่องที่ดี แต่หากกินอย่างถูกวิธีตามเทคนิคข้างต้น จะทำให้คุณได้รับประโยชน์มากที่สุด เพราะผักผลไม้แต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์แตกต่างกัน มีทั้งผักที่ควรกินทุกวัน ในขณะเดียวกันก็มีผักบางชนิดที่ไม่ควรกินบ่อย ๆ เพราะเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ดังนั้นอย่าลืมเอาเทคนิคจากเราไปปรับวิธีการกินของคุณ รับรองว่าจะช่วยให้คุณได้ประโยชน์แบบจัดเต็ม แถมโรคไม่ถามหา!

Select the fields to be shown. Others will be hidden. Drag and drop to rearrange the order.
  • Image
  • Rating
  • Price
  • Description
  • Content
  • Additional information
  • Add to cart
เปรียบเทียบสินค้า