รวมไอเดียจัดห้องครัวเล็ก ๆ สำหรับบ้านที่มีพื้นที่น้อย

รวมไอเดียจัดห้องครัวเล็ก ๆ สำหรับบ้านที่มีพื้นที่น้อย
ห้องครัวถือเป็นสถานที่ที่มีช่วงเวลาแห่งความสุขเกิดขึ้น แต่บางบ้านกลับเจอปัญหาห้องครัวขนาดเล็ก ไม่เพียงพอต่อการเก็บอุปกรณ์ จะทำอาหารหรือรับประทานอาหารร่วมกันก็ทำได้ยาก แต่วันนี้เราได้รวบรวมไอเดียวจัดห้องครัวเล็ก ๆ ให้ออกมาดูดี มีพื้นที่ใช้สอย ไม่ว่าห้องครัวจะเล็กขนาดไหนก็สามารถเป็นพื้นที่ที่ทำให้เกิดความสุขของคนในครอบครัวได้

รวมไอเดียจัดห้องครัวเล็กๆ ให้สนุกและใช้งานง่าย

1. เพิ่มความคล่องตัวด้วยการจัดแบบรูปตัว U

1. เพิ่มความคล่องตัวด้วยการจัดแบบรูปตัว U ห้องครัวแบบตัว U เป็นรูปแบบห้องครัวที่ใช้งานผนังทั้ง 3 ด้าน เหมาะกับบ้านทุกรูปแบบทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ข้อดีของห้องครัวรูปตัว U คือ มีพื้นที่เพียงพอในการประกอบอาหาร สะดวกในการเคลื่อนที่และขยับตัว ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็สามารถหยิบจับใช้งานได้อย่างสะดวก โดยนิยมติดตั้งอ่างล้างจานบริเวณท้องของตัว U จะทำให้สะดวกต่อการหยิบวัตถุดิบมาทำอาหาร และการทำความสะอาดหลังทำอาหารเสร็จ  

2. ใช้งานสะดวกด้วยการจัดแบบรูปตัว L

2. ใช้งานสะดวกด้วยการจัดแบบรูปตัว L อีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยม คือ การจัดห้องครัวแบบรูปตัว L เป็นการจัดครัวอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง ใช้พื้นที่ผนัง 2 ฝั่งติดกัน ใช้พื้นที่น้อย ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยในครัวมากขึ้น เช่น สามารถวางโต๊ะกับเก้าอี้รับประทานอาหารเพิ่ม และเป็นการเปิดพื้นที่ห้องครัวให้ออกไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในบ้าน ซึ่งการจัดห้องครัวรูปตัว L เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด โดยจะนิยมจัดวางอ่างล้างจานและเตาแก๊สอยู่คนละฝั่ง ส่วนตู้เย็นจะวางชิดผนังฝั่งใดฝั่งหนึ่ง 

3. จัดครัวให้เป็นระเบียนด้วยแปลนตัว I

3. จัดครัวให้เป็นระเบียนด้วยแปลนตัว I มาถึงการจัดวางห้องครัวที่เรามักเห็นบ่อย ๆ ในห้องพักหรือคอนโด นั่นก็คือห้องครัวแบบรูปตัว I เป็นการจัดครัวให้ชิดผนังด้านเดียว โดยจะเรียงอ่างล้างจาน เตาแก๊ส ตู้เย็นในแนวเดียวกัน เป็นเส้นตรงเหมือนตัว I ห้องครัวรูปแบบนี้จะเหมาะกับบ้าน ห้องพัก หรือคอนโดที่มีพื้นที่ไม่มากนัก มีผนังด้านเดียวก็สามารถจัดสรรเป็นครัวได้ แต่จะมีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ใช้สอยในห้องครัว โดยจะพื้นที่จัดเก็บอุปกรณ์เครื่องครัว หรือวัตถุดิบไม่มากนัก และไม่เหมาะกับการทำอาหารพร้อมกันหลาย ๆ คน 

4. ใช้ตู้แขวนสำหรับเก็บของ

4. ใช้ตู้แขวนสำหรับเก็บของ สำหรับห้องครัวที่มีพื้นที่จำกัด หรือมีอุปกรณ์เครื่องครัวเยอะ สามารถเพิ่มตู้แขวนหรือตู้ติดผนังบริเวณที่ว่างด้านบนเหนือเคาน์เตอร์ จะทำให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น สามารถเก็บอุปกรณ์ทำครัว เครื่องปรุง หรือของที่จำเป็นเพิ่มขึ้น สามารถหยิบจับสะดวก และเหลือพื้นที่บนเคาน์เตอร์มากขึ้น

5. เลือกอุปกรณ์ครัวแบบบิวท์อิน

5. เลือกอุปกรณ์ครัวแบบบิวท์อิน สำหรับคนที่ต้องการให้ห้องครัวประหยัดพื้นที่มากขึ้น ลองมองหาอุปกรณ์ครัวแบบบิวท์อินหรือแบบติดตั้งลงไปบนพื้นผิวของเคาน์เตอร์ครัวได้อย่างพอดี นอกจากจะกินพื้นที่ในครัวน้อยแล้ว ยังให้ความสวยงามแมตซ์ไปกับเคาน์เตอร์ครัว โดยอุปกรณ์ครัวแบบบิวท์อินก็มีให้เลือกมากมาย เช่น เตาอบไฟฟ้า อ่างล้างจาน เครื่องดูดควัน เป็นต้น  

6. เคาน์เตอร์แบบ 2 in 1 เพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน

6. เคาน์เตอร์แบบ 2 in 1 เพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน เพิ่มฟังก์ชันการใช้งานด้วยการเลือกเคาน์เตอร์แบบ 2 in 1 โดยจะมีทั้งเคาน์เตอร์ฝั่งที่เป็นพื้นที่สำหรับเตรียมอาหารและประกอบอาหารปกติ แต่อีกฝั่งจะเป็นพื้นที่สำหรับรับประทานอาหารยื่นออกมา กลายเป็นมุมทานอาหารเล็ก ๆ ในห้องครัว  เป็นอย่างไรกันบ้างกับไอเดียการจัดห้องครัวเล็ก ๆ ที่เรานำมาฝาก จะเห็นได้ว่าไม่ว่าห้องครัวจะเล็กขนาดไหน หากสามารถจัดห้องครัวให้เหมาะกับพื้นที่ ก็จะมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น อุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นระเบียบ จะหยิบจับอะไรก็สะดวกว่าเดิม ลองนำเอาไอเดียข้างต้นไปปรับใช้กับห้องครัวของคุณ ก็จะได้ครัวสวย ๆ ที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5 เคล็ดลับ ฮวงจุ้ยห้องครัว

5 เคล็ดลับ ฮวงจุ้ยห้องครัว
ห้องครัว เป็นห้องที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของบ้าน จึงมีความเชื่อว่าการจัดห้องครัวให้ถูกต้องตามหลักของฮวงจุ้ยจะสัมพันธ์กับเรื่องของสุขภาพ เงินทอง และความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต แล้วฮวงจุ้ยห้องครับที่ดีเป็นยังไง ต้องจัดวางเครื่องครัวมุมไหน วันนี้เราได้รวมวิธีจัดห้องครัวตามหลักฮวงจุ้ยห้องครัวมาฝาก ใครกำลังอยากจัดครัวใหม่ห้ามพลาดบทความนี้เลย 

รวมวิธีจัดฮวงจุ้ยห้องครัวที่ไม่ควรพลาด

1. ห้องครัวที่ดีต้องไม่ติดห้องน้ำ

1. ห้องครัวที่ดีต้องไม่ติดห้องน้ำ ห้องครัวเป็นธาตุไฟ ห้องน้ำเป็นธาตุน้ำ ซึ่งเป็นธาตุที่ขัดแย้งกัน หากอยู่ใกล้กันธาตุทั้งสองจะไม่สมดุล ส่งผลต่อความกลมเกลียวของคนในบ้าน คนในบ้านจะเกิดความขัดแย้ง และทะเลาะเบาะแว้งกันได้ง่าย รวมทั้งกลิ่นเหม็นจากห้องน้ำอาจรบกวนและทำลายบรรยากาศในห้องครัว ดังนั้นตำแหน่งห้องครัวที่ดีจึงไม่ควรอยู่ใกล้ห้องน้ำ แต่ถ้าห้องครัวบ้านไหนอยู่ติดกับห้องน้ำก็ไม่ต้องกังวล สามารถปรับได้โดยปิดประตูห้องน้ำ เพื่อไม่ให้พลังงานจากทั้งสองห้องมาปะทะกัน หรือทาสีผนังของทั้งสองห้องให้แตกต่างกัน เพื่อแบ่งแยกระหว่างสองห้องให้ชัดเจน 

2. ตำแหน่งการวางเตาที่เหมาะสมที่สุด

2. ตำแหน่งการวางเตาที่เหมาะสมที่สุด เตาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเตาไฟ เตาแก๊ส เตาไฟฟ้า เปรียบเสมือนตัวแทนของธาตุไฟ ดังนั้นตำแหน่งการวางเตาที่เหมาะสมคือบริเวณที่จะไม่ถูกทำลายโดยธาตุไฟ นั่นหมายถึง ไม่ควรวางเตาตรงข้ามหรือใกล้กับอ่างล้างจาน เพราะอ่างล้างจานเป็นธาตุน้ำ ซึ่งเป็นธาตุต่างขั้วกัน จะก่อให้เกิดการปะทะซึ่งกันและกันได้ วิธีการจัดวางที่ดีที่สุด คือ หากเตาและอ่างล้างจานอยู่คนละฝั่งให้วางในตำแหน่งเยื้องกัน หากอยู่ฝั่งเดียวกัน หรือห้องครัวมีขนาดเล็ก จำเป็นต้องวางใกล้กัน ควรวางให้มีระยะห่างอย่างน้อย 80-100 เซนติเมตร ย่อมดีต่อฮวงจุ้ย และหากมองในมุมของการใช้งานจริง หากใช้งานเตาและอ่างล้างจานพร้อมกันในพื้นที่แคบ ๆ ติดกัน ย่อมไม่สะดวกในการทำงานและก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ 

3. ห้องครัวควรอยู่ทิศไหนของบ้าน

3. ห้องครัวควรอยู่ทิศไหนของบ้าน ทิศของห้องครัวควรอยู่ในทิศที่มีแสงแดดส่องถึง เพื่อให้แสงแดดช่วยกำจัดเชื้อโรคและไล่ความชื้นในห้องครัว ซึ่งแต่ละทิศก็จะได้รับแสงแดดแตกต่างกัน
  • ทิศเหนือ เป็นทิศที่ได้รับแสงแดดอ่อน ๆ ตลอดทั้งวัน แต่ไม่สะสมความร้อนที่ทำให้ร้อนอบอ้าว เพราะไม่ใช่ทิศทางโคจรของดวงอาทิตย์
  • ทิศใต้ เป็นทิศที่ได้รับแดดมากที่สุด และได้รับแดดยาวนานตลอดทั้งวัน
  • ทิศตะวันออก เป็นทิศที่ได้รับแสงแดดมากในช่วงเช้า เพราะเป็นทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ประกอบอาหาร อาจจะไม่เหมาะกับการตั้งห้องครัวในทิศนี้
  • ทิศตะวันตก เป็นทิศที่ห้องครัวได้รับแสงแดดตลอดทั้งบ่าย 
ทิศที่เหมาะสมสำหรับห้องครัวที่สุดคือ ทิศตะวันตก เพราะจะสามารถใช้ประโยชน์จากแสงแดดได้อย่างเต็มที่ โดยแดดแรงในช่วงบ่ายจะช่วยฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ที่หมักหมม และไล่ความชื้นในห้องครัวได้เป็นอย่างดี หากมองในมุมฮวงจุ้ย ทิศตะวันตกเป็นทิศของธาตุโลหะ การที่ห้องครัวอยู่ทิศนี้จะทำให้มีอาหารเก็บตุนไว้มากมาย อนาคตไม่มีอด 

4. ลักษณะของห้องครัวที่ถูกฮวงจุ้ย

4. ลักษณะของห้องครัวที่ถูกฮวงจุ้ย ลักษณะของห้องครัวที่ดีตามหลักฮวงจุ้ย คือ ต้องมีแสงสว่างที่เหมาะสม ดูโปร่งสะอาดตา มีหน้าต่างเพียงพอเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี ไฟที่ใช้ในห้องครัวมีความสว่างอย่างเหมาะสม อาจมีแจกันดอกไม้ หรือกระถางพืชประดับตกแต่งในห้องครัว เพื่อดูดพลังงานดี ๆ 

5. อย่าตั้งห้องครัวตรงข้ามประตูใหญ่

5. อย่าตั้งห้องครัวตรงข้ามประตูใหญ่ ห้องครัวที่ดีจะต้องไม่อยู่ตรงข้ามประตูใหญ่ หรือบริเวณทางเข้าของบ้าน เพราะเชื่อกันว่าห้องครัวเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ หากตั้งตรงข้ามประตูใหญ่ของบ้าน หรือตำแหน่งที่คนนอกสามารถมองเห็นได้ จะส่งผลให้เจ้าของบ้านเก็บทรัพย์ไม่อยู่ โชคลาภบินออกจากบ้าน รวมทั้งพลังงานดีจะเคลื่อนออกไปได้ง่าย   ห้องครัวเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงสมาชิกในบ้านทุกคน ดังนั้นการจัดห้องครัวให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยห้องครัว จะช่วยส่งเสริมดวงชะตาของคนให้บ้านให้ดียิ่งขึ้น แม้จะเป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็นำมาซึ่งความสบายใจของคนในบ้านไม่น้อย ลองนำวิธีจากเราไปปรับใช้กับห้องครัวที่บ้าน แล้วก็รอรับความปังที่กำลังจะเข้ามาได้เลย

5 ไอเดียผนังครัวมีสไตล์ ทำความสะอาดง่ายไม่ทิ้งคราบ

5 ไอเดียผนังครัวมีสไตล์ ทำความสะอาดง่ายไม่ทิ้งคราบ
การออกแบบผนังครัว นอกจากเรื่องความสวยงามแล้ว ควรให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุให้ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพราะการประกอบอาหารภายในห้องครัวมักทำให้เกิดคราบต่าง ๆ ทั้งคราบน้ำมัน คราบเขม่า จึงควรเลือกวัสดุที่ที่มีความแข็งแรง ทนทาน ง่ายต่อการทำความสะอาด วันนี้เราจะมาแนะนำวัสดุตกแต่งผนังครัว เพื่อเป็นไอเดียให้กับผู้อ่านทุกท่าน

รวมประเภทผนังครัวที่นิยมใช้ในปัจจุบัน

1. เลือกใช้กระเบื้องเซรามิก

1. เลือกใช้กระเบื้องเซรามิก อยากจะแต่งห้องครัวง่าย ๆ แต่ไม่ต้องใช้งบเยอะ ขอแนะนำกระเบื้องเซรามิก หรือกระเบื้องดินเผา เป็นกระเบื้องที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก ราคาไม่แพง หาซื้อได้ตามร้านขายวัสดุก่อสร้างทั่วไป และที่สำคัญกระเบื้องผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีสารเจือปน และไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ มีหลากหลายขนาดและลวดลายให้เลือกใช้ อีกทั้งยังมีความแข็งแรง ทนทาน ไม่เกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย และยังทำความสะอาดได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับนำมาใช้กรุผนังครัว 

การทำความสะอาดผนังกระเบื้องเซรามิก

อย่างที่บอกไปว่ากระเบื้องเซรามิกทำความสะอาดได้ง่าย เพียงแค่ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดเบา ๆ ที่ตัวกระเบื้องเป็นวงกว้าง หรือในกรณีที่กระเบื้องคราบฝั่งลึก เช่น คราบน้ำมันจากการทำอาหาร คราบฟองสบู่ ให้ใช้ผ้าชุบกับน้ำยาเช็ดทำความสะอาดเช็ดได้เลย ซึ่งพอเป็นกระเบื้องที่ทำความสะอาดง่าย ก็จะทำให้ผนังครัวดูใหม่อยู่เสมอ แม้จะผ่านไปหลายปี

2. ใช้ผนังทาสีที่ป้องกันคราบได้

2. ใช้ผนังทาสีที่ป้องกันคราบได้ อีกหนึ่งประเภทผนังครัวที่ได้รับความนิยมคือการทาสีทับพื้นผิวผนังให้มีความสวยงาม ทำให้ห้องครัวดูดี มีสไตล์ แต่ควรเลือกประเภทสีผนังในห้องครัว ที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องคราบสกปรกจากการใช้งาน ทนความร้อนและความชื้นได้ดี ป้องกันการเกิดคราบดำบนผนังครัวที่มีความชื้นสูง แนะนำให้เลือกใช้สีน้ำอะคริลิก ชนิดกึ่งเงา เพราะมีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของการทำความสะอาด สามารถเช็ดทำความสะอาดง่าย และต้องไม่ต้องกังวลเรื่องสีหลุดล่อน หรือซีดจาง

การทำความสะอาดผนังทาสี

การทำความสะอาดผนังทาสี ให้ใช้ผ้าชุบน้ำสบู่อ่อน ๆ เช็ดบริเวณผนัง แล้วนำผ้าชุบน้ำสะอาดไปเช็ดน้ำยาออก โดยต้องมีความระมัดระวังในการเช็ด เพื่อป้องกันสีหลุดลอก  

3. ทำผนังขัดมันสไตล์ Loft

3. ทำผนังขัดมันสไตล์ Loft ผนังขัดมัน คือ ผนังที่มีการฉาบผนังปูนชั้นนอกให้ได้ผิวสัมผัสเรียบเนียน มันวาว และยังคงสีธรรมชาติของปูนซีเมนต์เอาไว้อยู่ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการตกแต่งบ้านสไตล์ Loft เน้นโชว์โครงสร้างเดิมของผนัง ซึ่งการตกแต่งผนังครัวสไตล์นี้จะทำให้ห้องครัวดูโล่งโปร่งสบาย น้อยแต่มาก เรียบแต่ดูดี

การทำความสะอาดผนังขัดมัน 

ขั้นตอนแรกของการทำความสะอาด คือ นำแปรงหรือผ้าแห้งไปปัดเช็ดฝุ่นหรือสิ่งสกปรกออกจากผนังก่อน จากนั้นให้นำผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ ไปเช็ดบนผนังให้ทั่ว บริเวณที่เป็นคราบหนักให้ใช้แปรงขนอ่อนจุ่มในน้ำอุ่นที่ผสมกับสบู่เหลว เพื่อนำไปขัดบริเวณที่มีคราบ ก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วจึงใช้ผ้าแห้งเช็ดให้แห้งอีกรอบ อย่างไรก็ตามแนะนำให้เคลือบผนังด้วยน้ำยาเคลือบผิวผนัง เพื่อป้องกันเชื้อรา คราบสกปรก ช่วยให้ง่ายต่อการทำความสะอาดมากขึ้น

4. แต่งแบบมีสไตล์ด้วยกระเบื้องโมเสค

4. แต่งแบบมีสไตล์ด้วยกระเบื้องโมเสค สำหรับใครที่ชื่นชอบความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร แนะนำให้ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสค ตัวกระเบื้องจะมีขนาดเล็กกว่าปกติ เมื่อนำไปปูผนังสามารถเลือกดีไซน์ได้ตามความต้องการว่าจะสลับสี ใช้สีเดียวกัน หรือเรียงต่อกันเป็นภาพศิลปะได้ ข้อดีของกระเบื้องโมเสคคือมีความแข็งแรง ทนทาน มีอายุการใช้งานนาน และมีอัตราการดูดซึมน้ำต่ำ ทำให้ทนต่อความชื้นได้ดี 

การทำความสะอาดผนังกระเบื้องโมเสค

สำหรับการทำความสะอาดผนังครัวแบบกระเบื้องโมเสค สามารถใช้ฟองน้ำชุบน้ำสะอาด หรือใช้น้ำยาเช็ดกระจกเช็ดทำความสะอาดได้เลย แต่ควรหลีกเลี่ยงวัสดุที่มีขนแข็ง เพราะจะทำให้พื้นผิวกระเบื้องเกิดรอยขีดข่วนได้

5. วัสดุอะลูมิเนียมคอมโพสิท

5. วัสดุอะลูมิเนียมคอมโพสิท วัสดุอะลูมิเนียมคอมโพสิท เป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบา แต่มีความแข็งแกร่ง กันความร้อนได้ดี ทนกับทุกสภาวะอากาศที่มีความชื้นแตกต่างกัน และมีหลายเฉดสีให้เลือก จึงเป็นหนึ่งวัสดุทางเลือกที่นำมาใช้ตกแต่งผนังครัวได้ 

การทำความสะอาดอะลูมิเนียมคอมโพสิท 

อลูมิเนียมคอมโพสิท สามารถทำความสะอาดได้ง่าย โดยใช้ผ้าชุบน้ำสะอาด หรือน้ำผสมน้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์เช็ดทำความสะอาดให้ทั่วผนัง แต่ไม่ควรเลือกใช้ฝอยขัดหม้อ หรือแปรงที่มีแขนแข็ง เพราะจะทำให้ผิวของแผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทเป็นรอยได้ และนี่คือ 5 ผนังครัวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าแต่ละประเภทก็ให้ความสวยงามที่แตกต่างกัน แต่ทุกประเภทสามารถทำความสะอาดได้ง่าย เหมาะสำหรับห้องครัวที่มักเกิดคราบต่าง ๆ อยู่เสมอ อย่างไรก็ตามจะดีกว่าไหมหากเรามีไอเท็มที่ช่วยลดความถี่ในการทำความสะอาดผนัง เราขอแนะนำ เครื่องดูดควัน เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยกำจัดควันและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในห้องครัว ลดการเกิดคราบเขม่า คราบดำ หรือไอน้ำมัน บนอุปกรณ์ครัวต่าง ๆ และผนังครัว ทำให้ไม่ต้องทำความสะอาดผนังบ่อน ๆ มีติดบ้านสักเครื่อง ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ!

5 เทคนิคกินผักและผลไม้ให้ถูกวิธี

5 เทคนิคกินผักและผลไม้ให้ถูกวิธี

คนยุคใหม่เริ่มหันมาใส่ใจอาหารการกินมากขึ้น โดยเฉพาะการกินผักและผลไม้ ซึ่งอุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าหากต้องการให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากผักและผลไม้มากที่สุด จะต้องกินอย่างถูกวิธี วันนี้ Tecnogas มีเทคนิคการกินผักและผลไม้ให้มาฝาก ให้คุณกินได้อย่างถูกต้อง ได้ประโยชน์แบบจัดเต็ม

เทคนิคกินผักและผลไม้ให้ประโยชน์แบบจัดเต็ม

เทคนิคกินผักและผลไม้ให้ประโยชน์แบบจัดเต็ม

1. กินผักให้ได้ 400 กรัม/วัน

ควรกินผักผลไม้ให้ถึง 400 กรัมต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่สามารถเฉลี่ย 400 กรัมไปตามมื้อต่าง ๆ ได้ หากไม่มีตาชั่ง สามารถกะปริมาณด้วยฝ่ามือได้ เพราะสองฝ่ามือของผู้ใหญ่ประกอบการจะเทียบเท่าผักปริมาณ 100 กรัม 

2. กินผัก 3 ส่วน ผลไม้ 2 ส่วน

เราควรแบ่งสัดส่วนการกินผักและผลไม้ต่อวันเพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ อย่างที่บอกไปในข้อแรกว่าใน 1 วัน ควรกินผักผลไม้ให้ได้ 400 กรัมต่อวัน ซึ่งใน 400 กรัม ควรกินผักให้ได้ 3 ส่วน และผลไม้ 2 ส่วน โดยเป็นผักปรุงสุก 4-6 ทัพพี และผลไม้อีก 1-2 ผล

3. กินผักผลไม้ให้ถูกช่วงเวลา

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการกินผักและผลไม้ก็ต้องเลือกกินให้ถูกช่วงเวลา โดยแต่ละช่วงเวลาจะมีวิธีการกินที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ตอนเช้า เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการอาหารไปบำรุงสมอง แนะนำให้กินผลไม้ 2 ชั่วโมงหลังอาหาร เพื่อให้อาหารย่อยให้หมดก่อน หากกินหลังอาหารทันทีจะทำให้ย่อยไปสู่ลำไส้ได้ช้า เป็นที่มาของการเกิดอาการจุด เสียด แน่นท้อง หรืออาการท้องอืดท้องเฟ้อนั่นเอง
  • ตอนกลางวัน เป็นช่วงที่เราสามารถกินผลไม้หวาน ๆ ได้ เช่น กล้วย มะม่วง เป็นการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อช่วยย่อยอาหาร และเติมความสดชื่นให้ร่างกายตื่นจากความเหนื่อยล้าระหว่างวัน 
  • ตอนเย็น เป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูร่างกายจากความอ่อนล้าตลอดทั้งวัน แนะนำให้กินผักและผลไม้ เช่น บรอกโคลี แก้วมังกร แต่ควรหลีกเลี่ยงการกินผักและผลไม้ใกล้กับช่วงเวลาเข้านอน เพราะจะตกค้างอยู่ในลำไส้ ทำให้ลุกขับถ่ายกลางดึก ดังนั้นควรรอให้ย่อยก่อนประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วจึงเข้านอน

4. เลี่ยงผักผลไม้น้ำตาลสูง

แม้ว่าผักและผลไม้จะอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ แต่ผักและผลไม้บางชนิดกลับมีน้ำตาลสูง เมื่อกินเข้าไปแล้วก็อาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ที่กำลังลดน้ำหนักต้องระวังผักผลไม้เหล่านี้ เช่น ข้าวโพด มะม่วง ละมุด ทุเรียน และหันมากินผักผลไม้ที่น้ำตลาดที่ไม่สูงมาก เช่น ฝรั่ง แอปเปิลเขียว คะน้า หรือบรอกโคลี 

5. กินผักและผลไม้ให้ครบ 5 สี

ผักและผลไม้ต่างสีก็ให้สารอาหารที่ต่างกัน เราจึงควรกินผักผลไม้ให้ครบ 5 สี เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลาย ป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น 

  • สีเขียว เช่น คะน้า ผักบุ้ง ผักกาดขาว ฝรั่ง แอปเปิลเขียว กลุ่มนี้จะมีสารคลอโรฟิลล์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีใยอาหารสูงช่วยเรื่องระบบขับถ่ายและบำรุงผิวพรรณ รวมทั้งป้องกันการเกิดมะเร็ง 
  • สีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม สตรอเบอร์รี่ กลุ่มนี้จะมีสารไลโคปีน ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • สีส้ม-เหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ส้ม สัปปะรอด กลุ่มนี้มีสารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและการมองเห็น รักษาหัวใจและหลอดเลือด
  • สีม่วง-น้ำเงิน เช่น มันม่วง เผือก องุ่น กะหล่ำปลีม่วง กลุ่มนี้จะมีสารแอนโทไซยานิน ช่วยยับยั้งและต้านการอักเสบในร่างกาย ป้องกันการเกิดมะเร็ง
  • สีขาว-น้ำตาล เช่น หัวไชเท้า กระเทียม พุทรา ขิง กลุ่มนี้จะมีสารอัลลิซินและแซนโทน ช่วยลดการเกิดเนื้องอก ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเส้นเลือด


การกินผักและผลไม้เป็นเรื่องที่ดี แต่หากกินอย่างถูกวิธีตามเทคนิคข้างต้น จะทำให้คุณได้รับประโยชน์มากที่สุด เพราะผักผลไม้แต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์แตกต่างกัน มีทั้งผักที่ควรกินทุกวัน ในขณะเดียวกันก็มีผักบางชนิดที่ไม่ควรกินบ่อย ๆ เพราะเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ดังนั้นอย่าลืมเอาเทคนิคจากเราไปปรับวิธีการกินของคุณ รับรองว่าจะช่วยให้คุณได้ประโยชน์แบบจัดเต็ม แถมโรคไม่ถามหา!

7 วิธีล้างผักผลไม้ สะอาด ปลอดภัย ไร้สารพิษ

7 วิธีล้างผักผลไม้ สะอาด ปลอดภัย ไร้สารพิษ
ผักและผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การรับประทานผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ แต่รู้หรือไม่ว่าผักผลไม้ที่เราทานเข้าไปก็เกิดโทษต่อร่างกายได้ เพราะมีสารพิษตกค้างอยู่ และเพื่อความปลอดภัย การล้างผักผลไม้ให้สะอาดจึงเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ วันนี้เราจึงได้รวมวิธีล้างผักผลไม้ ที่ไม่ได้มีแค่การล้างด้วยน้ำเปล่าเท่านั้น รับรองว่าทำตามนี้ปลอดภัยไร้สารตกค้างแน่นอน 

รวมวิธีล้างผักผลไม้ที่สะอาดและปลอดภัย

1. ล้างผักผลไม้ด้วยการแช่น้ำ

1. ล้างผักผลไม้ด้วยการแช่น้ำ เริ่มต้นกันด้วยวิธีแรกที่ทำได้ง่ายและสุดแสนจะเบสิค คือ การล้างผักผลไม้ด้วยน้ำสะอาด ไม่ต้องใช้ตัวช่วยอะไรเพิ่มเติม แต่ต้องมีเวลา โดยนำผักผลไม้แช่ไปในน้ำเปล่าประมาณ 15 นาที จากนั้นเปิดก๊อกให้น้ำไหลผ่าน ระหว่างนี้ให้ใช้นิ้วถูทุกซอกมุม หากผักเป็นแบบใบให้คลี่หรือเด็ดออก แล้วใช้นิ้วขัดถูให้ครบทุกใบ จากนั้นแช่น้ำต่ออีกประมาณ 5 นาที แล้วจึงนำขึ้นสะเด็ดน้ำและเตรียมปรุงอาหารต่อได้เลย

2. ล้างด้วยวิธีให้น้ำไหลผ่าน

2. ล้างด้วยวิธีให้น้ำไหลผ่าน การล้างโดยให้น้ำไหลผ่านฟังดูเหมือนง่าย แต่หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเพียงปล่อยให้น้ำไหลผ่านผักและผลไม้เท่านั้น แต่วิธีที่ถูกต้องคือ ผักที่มีใบต้องเด็ดผักออกเป็นใบ ๆ ก่อน จากนั้นน้ำมาใส่ตะแกรงหรือตะกร้าโปร่ง แล้วเปิดน้ำให้แรงพอประมาณ ระหว่างล้างให้ใช้นิ้วถูไปมาบนผิวใบของผักผลไม้ไปด้วยประมาณ 2 นาที เพื่อทำความสะอาด ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและสามารถทำความสะอาดได้ดี แต่ใช้น้ำปริมาณมาก 

3. ล้างด้วยน้ำเกลือ

3. ล้างด้วยน้ำเกลือ เกลือ เป็นวัตถุดิบติดครัวที่สามารถนำมาใช้ล้างผักและผลไม้ได้เช่นกัน โดยนำเกลือ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ 4 ลิตร จากนั้นนำผักหรือผลไม้ลงแช่ในน้ำเกลือทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ก่อนจะนำขึ้นมาใช้นิ้วขัดถูกอีกครั้ง แล้วล้างน้ำเกลือออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้จะช่วยกำจัดยาฆ่าแมลงให้หลุดจากผักผลได้ดี แต่ข้อควรระวังคืออย่าใส่เกลือปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้ผักหรือผลไม้มีรสเค็มได้

4. ใช้ด่างทับทิม

4. ใช้ด่างทับทิม ด่างทับทิม หรือสารโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต มีคุณสมบัติเป็นเกลือที่เป็นเบสอ่อน ๆ จึงนิยมนำไปกำจัดเชื้อโรค หรือเชื้อราบนพืชต่าง ๆ รวมทั้งสามารถนำมาใช้ทำความสะอาดผักหรือผลไม้ได้เช่นกัน โดยใช้ด่างทับทิมประมาณ 20 เกล็ดผสมกับน้ำสะอาด 4 ลิตร แล้วจึงนำผักมาแช่ไว้ในน้ำด่างทับทิมประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง ข้อควรระวังคือการใช้ด่างทับทิมต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากใช้เยอะจนเกินไปผักและผลไม้จะเหี่ยวหรือเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้ และหากสูดดมเข้าไปมาก ๆ จะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

5. ล้างด้วยน้ำส้มสายชู

5. ล้างด้วยน้ำส้มสายชู น้ำส้มสายชู เป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่สามารถล้างสารพิษตกค้างได้มากถึง 84% โดยมีวิธีง่าย ๆ คือ นำน้ำส้มสายชูที่มีกรดน้ำส้มความเข้มข้น 5% ผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1:10 แล้วจึงนำผักหรือผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกรอบ อย่างไรก็ตามวิธีนี้ก็มีข้อควรระวังคือ ภาชนะที่ใส่ผักหรือผลไม้ไม่ควรเป็นพลาสติก เพราะน้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรด และผักบางชนิดอาจดูดกลิ่นและรสเปรี้ยวของน้ำส้มสายชูได้ เช่น ผักกาดขาว จึงอาจไม่เหมาะกับการล้างด้วยวิธีนี้

6. ใช้เบกกิ้งโซดา

6. ใช้เบกกิ้งโซดา มาถึงผงสารพัดประโยชน์อย่างเบกกิ้งโซดา ที่นอกจากจะใช้ประกอบอาหารแล้ว ยังนำมาใช้ล้างสารพิษจากผักและผลไม้ได้อีกด้วย โดยนำเบกกิ้งโซดา ½ ช้อนโต๊ะ มาผสมกับน้ำสะอาด 10 ลิตร จากนั้นนำผักหรือผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เพียงเท่านี้ก็สามารถลดสารพิษตกค้างได้ถึง 90-95% เลยทีเดียว

7. ล้างด้วยน้ำยาล้างผักสูตรเฉพาะ

7. ล้างด้วยน้ำยาล้างผักสูตรเฉพาะ ปัจจุบันมีการผลิตน้ำยาล้างผักโดยเฉพาะ ไม่ทิ้งกลิ่นและสารตกค้าง เหมาะสำหรับนำมาทำความสะอาดผักและผลไม้ที่มีการปนเปื้อนยาฆ่าแมลง โดยเลือกใช้น้ำยาล้างผักความเข้มข้น 0.3% ผสมกับน้ำสะอาด 4 ลิตร แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง  จะเห็นได้ว่าวิธีล้างผักและผลไม้ที่เรานำมาฝากมีข้อดีและข้อควรระวังต่างกัน จะเลือกวิธีไหนก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน แม้ว่าการล้างผักและผลไม้จะเสียเวลาไปบ้าง แต่ยอมเสียเวลานิดหน่อยเพื่อให้เราได้กินผักและผลไม้ที่สะอาด ปลอดสารพิษตกค้าง และเพื่อสุขอนามัยที่ดียิ่งขึ้น ห้ามลืมทำความสะอาดอ้างล้างจานหลังล้างผักและผลไม้เสร็จ เพื่อให้อ่างล้างจานปราศจากสารพิษที่มาจากผักและผลไม้ ปลอดภัยพร้อมใช้งานต่อ

Follow Us

TEL. 02-274-3434
EMAIL : webmaster@sbo-brand.com

The Signature Brand Co., Ltd. 
771 Pracha Uthit Road, Samsen Nok,Huai Khwang District, Bangkok 10310