รวมไอเดียจัดระเบียบห้องครัวให้น่าใช้ หยิบจับอะไรก็สะดวก

รวมไอเดียจัดระเบียบห้องครัวให้น่าใช้ หยิบจับอะไรก็สะดวก
“ห้องครัว” เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ในบ้านที่มีการใช้งานมากที่สุด หากห้องครัวรก ย่อมมีโอกาสทำให้เกิดการสะสมของคราบสิ่งสกปรก มด และแมลงสาบ อีกทั้งยังทำให้ห้องครัวไม่น่าใช้งาน สร้างความไม่อภิรมย์ให้กับคนในครอบครัว แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ด้วย 5 ไอเดียจัดระเบียบห้องครัวสุดปังที่ Tesnogas นำมาฝากในวันนี้

5 ไอเดียจัดระเบียบห้องครัว เก็บของได้อย่างเป็นระเบียบ

1.จัดอุปกรณ์หม้อกระทะด้วยการแขวน

การนำหม้อ หรือกระทะขนาดต่าง ๆ ไปแขวนไว้บนที่เก็บของแขวนผนัง เป็นไอเดียง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ห้องครัวของคุณเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น นอกจากจะสามารถหยิบใช้งานได้อย่างสะดวกแล้ว ยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่าอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีที่เก็บของแขวนผนังให้เลือกใช้งานหลายรูปแบบ ทั้งที่เก็บของที่มีที่แขวนอย่างเดียว หรือมีชั้นวางของด้านบนร่วมด้วย ให้เลือกใช้ได้ตามความต้องการ

2.จัดระเบียบเครื่องปรุงในครัวให้พร้อมใช้

เครื่องปรุงในครัว เป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้ห้องครัวรก ไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นจึงควรที่จะจัดระเบียบเครื่องปรุงในครัวให้เรียบร้อย เป็นสัดเป็นส่วน พร้อมใช้งาน โดยการใส่ในขวดโหล หรือกระปุกต่าง ๆ ที่มีฝาปิดมิดชิด ติดป้ายชื่อให้เรียบร้อย แล้วนำไปวางเรียงบนชั้น หรือตะกร้าใส่ของ เพียงเท่านี้ก็ช่วยจัดระเบียบห้องครัวให้เรียบร้อยขึ้นแล้ว

3.จัดจานชามช้อนส้อมไว้ในลิ้นชัก

อย่าปล่อยจาน ชาม ช้อน ส้อม ที่ล้างทำความสะอาดแล้วทิ้งไว้บนซิงค์ล้างจาน เพราะนอกจากจะทำให้ห้องครัวรกไม่เป็นระเบียบแล้ว ยังอาจทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกด้วย ดังนั้นเมื่อจาน ชาม ช้อน ส้อม ที่ล้างไว้แห้งเรียบร้อยดีแล้ว ก็ควรนำไปเก็บไว้ในลิ้นชัก อย่างไรก็ตาม การใส่ไว้ลิ้นชักโล่ง ๆ ก็อาจทำให้หยิบใช้งานได้ยาก ควรหาถาดเก็บช้อนส้อมมาใส่ไว้ในลิ้นชักเพื่อที่จะได้เก็บของเป็นสัดเป็นส่วนด้วย

4.เก็บของประเภทเดียวกันไว้ด้วยกัน

การเก็บของประเภทเดียวกันไว้ด้วยกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีจัดระเบียบห้องครัวง่าย ๆ ที่ได้ผลจริง ทำให้หยิบใช้ง่ายได้สะดวก อีกทั้งยังไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออุปกรณ์เก็บของด้วย สามารถเริ่มเก็บของง่าย ๆ ด้วยการเก็บจานชามไว้ในที่เดียวกัน แยกเครื่องปรุงในครัวสำหรับทำอาหารและทำขนมให้ชัดเจน เก็บของแห้ง หรือขนมไว้ในตะกร้าให้เรียบร้อย

5.เพิ่มชั้นวางของเพื่อขยายที่เก็บของ

ถ้าหากข้าวของเครื่องใช้ หรือเครื่องปรุงในห้องครัวของคุณมีมากเกินไปจนล้นออกมาจากที่เก็บของ หรือวางแน่นจนดูไม่เรียบร้อย การเพิ่มชั้นวางของเพื่อขยายที่เก็บของให้กว้างขึ้น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ซึ่งชั้นวางของก็มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบลอยตัว บิ้วอิ้น เป็นตู้เก็บของ หรือที่ติดผนัง คุณควรที่จะออกแบบห้องครัว และวัดพื้นที่ให้เรียบร้อยก่อน เพื่อที่จะเลือกซื้อชั้นวางของได้เหมาะสมกับห้องครัว หวังว่า 5 ไอเดียจัดระเบียบห้องครัวที่นำมาฝากในวันนี้ จะช่วยให้ห้องครัวของคุณเป็นระเบียบเรียบร้อยและน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่จัดระเบียบห้องครัวแล้วยังรู้สึกไม่ถูกใจ คิดว่าเครื่องครัวที่มีอยู่ระเกะระกะ มองแล้วไม่เรียบร้อย แนะนำให้ลองเปลี่ยนไปใช้เครื่องครัวแบบบิ้วอิน เช่น เตาอบบิ้วอิน หรือตู้เย็นบิ้วอินดู ก็จะช่วยให้ห้องครัวของคุณเรียบร้อย โล่งโปร่ง มองดูแล้วสบายตาขึ้นอย่างแน่นอน

แจกฟรี 9 สูตรเมนูอาหารเกาหลีสุดเด็ดมัดใจอปป้า!

แจกฟรี 9 สูตรเมนูอาหารเกาหลีสุดเด็ดมัดใจอปป้า!
ใครที่เวลาดูซีรีย์เกาหลีแล้วอยากลองทำอาหารเกาหลีดูบ้าง มารวมตัวกันทางนี้ Tesnogas ขอแนะนำ 9 สูตรอาหารเกาหลียอดนิยม ทำตามได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเมนูอาหารเกาหลีเมนูไหน ก็สามารถทำได้ รับรองว่ารสชาติอร่อย ได้รสเกาหลีแท้ ๆ ใช้มัดใจอปป้าได้อย่างแน่นอน

9 สูตรอาหารเกาหลีทำไม่ยากที่ครัวคุณ

1. ต๊อกบกกีชีส

ใครที่ชอบรับประทานต็อกบกกีนุ่ม ๆ ชีสยืด ๆ หอมชีสเต็มคำ ต้องไม่พลาดต๊อกบกกีชีส เมนูอาหารเกาหลีรสชาติอร่อย รับประทานง่าย ไม่ว่าใครที่ได้ลองก็ต้องติดใจ แถมยังทำตามได้ง่าย ๆ ด้วย วัตถุดิบต็อกบกกีชีส
  • เชดด้าชีสสไลด์ 4 แผ่น
  • ผงพาเมซานชีสตามใจชอบ
  • เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ
  • เบคอน 200 กรัม
  • หอมใหญ่ หั่นเต๋า 1 ลูก
  • เห็ดหอมแช่น้ำ หั่นเต๋า 3 ดอก
  • พริกหวาน 3 สี หั่นเต๋า 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำเปล่า 200 มิลลิลิตร
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • พริกป่นญี่ปุ่น 2 ช้อนชา
  • น้ำมันงา 1 ช้อนชา
  • ซอสโคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสถั่วเหลืองญี่ปุ่น 2 ช้อนชา
  • ต๊อกบกกีสำเร็จรูป 150 กรัม
ขั้นตอนการทำต็อกบกกีชีส
  • นำเบคอนไปเซียร์บนกระทะให้เหลืองกรอบ แล้วพักไว้
  • ใส่เนยลงไปในกระทะที่ยังมีน้ำมันเบคอนอยู่ แล้วใส่หอมใหญ่ เห็ดหอม และพริกหวานลงไป ผัดให้เข้ากันจนสุก
  • เติมน้ำเปล่า แล้วปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย พริกป่นญี่ปุ่น ซอสถั่วเหลืองญี่ปุ่น น้ำมันงา และซอสโคชูจัง ให้ได้รสตามใจชอบ
  • ใส่ต๊อกบกกีลงไป ปรับไฟลง แล้วผัดให้เข้ากันจนต๊อกบกกีสุก
  • ตักใส่ชาม โรยผงพาเมซานชีส วางเบคอน และเชดด้าชีสสไลด์ให้คลุมหน้าต๊อกบกกี แล้วนำไปอบในเตาไมโครเวฟประมาณ 45 วินาที เป็นอันเสร็จ

2. หมูสามชั้นผัดกิมจิ

หมูสามชั้นผัดกิมจิรสเข้มข้น เมนูอาหารเกาหลีที่มีรสชาติถูกใจคนไทยส่วนใหญ่ ใครที่เพิ่งเริ่มลองทำอาหารเกาหลี ต้องไม่พลาดเมนูนี้ เพราะเราคัดเลือกสูตรหมูสามชั้นผัดกิมจิที่ทั้งอร่อยและทำง่ายมาให้แล้ว วัตถุดิบหมูสามชั้นผัดกิมจิ
  • เนื้อหมูสามชั้นสไลด์ 200 กรัม
  • กิมจิ หั่นเป็นท่อน ๆ 150 กรัม (เลือกยี่ห้อกิมจิที่ชอบรับประทาน)
  • ซอสโคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • หอมหัวใหญ่ หั่นสไลด์ 1/2 หัว
  • ต้นหอม หั่นท่อน 1 ต้น
  • งาขาวสำหรับโรยหน้า
ขั้นตอนการทำหมูสามชั้นผัดกิมจิ
  • หมักหมูสไลด์ด้วยน้ำมันงา ซอสโคชูจัง เกลือ และซอสปรุงรส พักไว้ 20 – 30 นาที
  • ตั้งน้ำมันให้ร้อน ใส่หมูที่หมักไว้ลงไป และผัดจนหมูเกือบสุก
  • ใส่กิมจิ หัวหอม และต้นหอมลงไป แล้วผัดให้เข้ากันจนหมูสุก
  • ปรุงรสเพิ่มเติมตามใจชอบ แล้วตักใส่จาน ตกแต่งด้วยงาขาว

3. ซุปกิมจิเต้าหู้อ่อน

ถ้าคิดจะทำอาหารเกาหลีให้ครบครัน ต้องไม่พลาดอีกหนึ่งเมนูอาหารเกาหลีที่ฮิตที่สุด ไม่ว่าจะไปร้านไหนก็ต้องเจอ ซุปกิมจิเต้าหู้อ่อนสุดเข้มข้น ซดร้อน ๆ คล่องคอ ซึ่งเราได้คัดเลือกสูตรอาหารเกาหลีที่ทำง่าย ๆ แต่ยังได้รสชาติของซุปกิมจิสไตล์เกาหลีแท้ ๆ มาให้แล้ว วัตถุดิบซุปกิมจิเต้าหู้อ่อน
  • หมูสามชั้น หรือหมูสไลด์ 350 กรัม
  • กิมจิ 250 กรัม (เลือกยี่ห้อกิมจิที่ชอบรับประทาน)
  • เต้าหู้ขาวอ่อน 1 ก้อน
  • เห็ดเข็มทอง 100 กรัม
  • หอมหัวใหญ่ หั่นสไลด์ 1/2 ลูก
  • ต้นหอมญี่ปุ่น หั่นสไลด์ 1 ถ้วยตวง
  • คนอร์ซุปก้อน 1 ก้อน
  • พริกป่นเกาหลี 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสโคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 หยิบมือ
  • ต้นหอมซอยและงาขาวสำหรับโรยหน้า
  • น้ำเปล่า 550 มิลลิลิตร
ขั้นตอนการทำซุปกิมจิเต้าหู้อ่อน
  • ผัดหมูสามชั้น หรือหมูสไลด์กับน้ำมันงาจนเนื้อหมูใกล้สุก
  • ใส่กิมจิ เห็ดเข็มทอง ต้นหอมญี่ปุ่น หอมหัวใหญ่ลงไป ผัดให้เข้ากัน
  • เติมน้ำลงไป พอน้ำเดือดให้ใส่คนอร์ และปรุงรสด้วยซอสโคชูจัง เกลือ และพริกป่นเกาหลี
  • ใส่เต้าหู้ขาวอ่อนและไข่ไก่ลงไป ตั้งไฟกลางตุ๋นทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
  • ตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยต้นหอมซอยและงาขาว เป็นอันเสร็จ

4. กิมจิผัดไข่

แค่มีกิมจิ ไข่ไก่ และซอสโคชูจังก็สามารถทำอาหารเกาหลีที่อร่อยได้แล้ว เราขอแนะนำกิมจิผัดไข่ เมนูอาหารเกาหลีที่ใช้วัตถุดิบแค่ 3 อย่าง หาซื้อง่าย ไม่ว่าใครก็ทำตามได้ วัตถุดิบกิมจิผัดไข่
  • กิมจิ 150 กรัม (เลือกใช้ยี่ห้อกิมจิที่ชอบรับประทาน)
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • ซอสโคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนการทำกิมจิผัดไข่
  • ถ้าต้องการใส่เนื้อสัตว์ สามารถนำเนื้อสัตว์ที่ชอบลงไปผัดกับกระเทียมก่อนได้ แต่ถ้าไม่อยากรับประทานเนื้อสัตว์ สามารถใส่กิมจิลงไปผัดกับน้ำมันได้เลย
  • ใส่ไข่ไก่ลงไป ปรุงรสด้วยซอสโคชูจัง ผัดให้เข้ากันแล้วปิดไฟ ใครที่ชอบไข่นุ่ม ๆ เยิ้ม ๆ ไม่ต้องผัดนาน รับรองว่าอร่อยแน่นอน

5. บูเดชิเก

ทำเมนูอาหารเกาหลีจานเดียวไปหลายเมนูแล้ว เราขอเปลี่ยนไปทำอาหารเกาหลีเอาใจสายปาร์ตี้บ้าง กับ บูเดชิเก หม้อไฟเกาหลีสุดปังที่ใครได้กินก็ติดใจ ทำตามได้ง่าย ๆ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย วัตถุดิบบูเดชิเก
  • บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกาหลี
  • ซอสโคชูจังตามใจชอบ
  • เนื้อสัตว์ตามใจชอบ
  • ไส้กรอก แฮม เบคอน ลูกชิ้น หรือปูอัดตามใจชอบ
  • เต้าหู้ขาวอ่อน
  • คนอร์ 1 ก้อน
  • ไข่ไก่
  • ผักสำหรับใส่หม้อไฟ เช่น ต้นหอมญี่ปุ่นซอย หอมหัวใหญ่ แครอท เห็ด ผักกาดขาว กะหล่ำปลี เห็ดเข็มทอง
  • น้ำเปล่า หรือน้ำสต็อก
  • น้ำมันงา
ขั้นตอนการทำบูเดชิเก
  • ใส่น้ำเปล่าลงไปในหม้อชาบู ปรุงรสด้วยคนอร์ ซอสโคชูจัง น้ำมันงา หรือเครื่องปรุงรสอื่น ๆ จนได้รสน้ำซุปที่ชอบ
  • ใส่มาม่า ผัก ไข่ไก่ และเนื้อสัตว์ลงไป รอจนทุกอย่างสุกก็สามารถรับประทานได้เลย จะเพิ่มความหอมด้วยน้ำมันงา หรือเพิ่มความอร่อยด้วยชีสแผ่นก็ได้ทั้งนั้น

6. ซุปต๊อกโบกีเนื้อ

นอกจากบูเดชิเกแล้ว อีกหนึ่งเมนูอาหารเกาหลีที่สายปาร์ตี้ไม่ควรพลาดก็คือ ซุปต๊อกโบกีเนื้อร้อน ๆ เมนูที่ทำรับประทานร่วมกันกับเพื่อน หรือครอบครัว ก็ทำให้มื้ออาหารนั้นพิเศษและสนุกขึ้นกว่าเดิม โดยเราคัดสูตรอาหารเกาหลีแท้ ๆ มาให้แล้ว รับรองว่าอร่อยเหมือนบินไปกินที่เกาหลี วัตถุดิบซุปต๊อกโบกีเนื้อ
  • เนื้อวัว หรือเนื้อหมู 200 กรัม (หมักด้วยไวน์ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ และพริกไทย)
  • ต๊อกโบกีเส้นสด 300 กรัม
  • ลูกชิ้นปลาเกาหลี หั่นพอดีคำ 4 – 5 ลูก
  • ต้นหอมญี่ปุ่น หั่นสไลด์ 1 ต้น
  • กะหล่ำปลี หั่นสไลด์ 2 หัว
  • ใบโอบะ 4 ใบ
  • ไข่ต้ม 2 – 4 ฟอง
  • งาดำ งาขาวสำหรับโรยนา
  • เกี๊ยวซ่าสำเร็จรูป ตามใจชอบ
  • น้ำสต็อก
  • น้ำซอสสำหรับซุปต็อกโบกี (ซอสโคชูจัง พริกผงเกาหลี กระเทียมสับ น้ำตาล น้ำเชื่อมข้าวโพด ผงกะหรี่ ซีอิ๊วขาว และพริกไทย ผสมให้เข้ากัน)
ขั้นตอนการทำซุปต็อกโบกีเนื้อ
  • ทอดเกี๊ยวซ่าให้กรอบ และนำต็อกโบกีไปแช่น้ำ 10 นาที
  • นำหมูที่หมักไว้ลงไปผัดให้เกือบสุก แล้วใส่ต้นหอมญี่ปุ่นและกะหล่ำปลีลงไป ผัดให้เข้ากัน
  • เติมน้ำสต็อกให้ท่วม ใส่น้ำซอสลงไป คนให้เข้ากัน
  • พอน้ำเดือดแล้ว ให้ใส่ต็อกบกกี ลูกชิ้นปลาเกาหลี ไข่ต้ม และใบโอบะลงไป
  • โรยหน้าด้วยงาดำและงาขาวเป็นอันเสร็จ สามารถตักเสิร์ฟได้เลย หรือรับประทานบนหม้อเหมือนบูเดชิเกก็ได้

7. ข้าวผัดกิมจิ

เมื่อพูดถึงเมนูอาหารเกาหลีที่ทำจากกิมจิแล้ว อีกหนึ่งเมนูที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ข้าวผัดกิมจิรสจัดจ้าน รับประทานคู่กับไข่ดาวเยิ้ม ๆ และซุปสาหร่ายหอม ๆ กินได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ใครที่ไม่เคยทานต้องลอง วัตถุดิบข้าวผัดกิมจิ
  • ข้าวหอมมะลิ หรือข้าวญี่ปุ่นหุงสุก แช่เย็น 1 ถ้วย
  • กิมจิ 1/2 ถ้วย (เลือกยี่ห้อกิมจิที่ชอบรับประทาน)
  • ซอสโคชูจัง 1 ช้อนโต๊ะ แต่ถ้าชอบเผ็ดสามารถใส่ 2 ช้อนโต๊ะได้
  • เบคอน 1/2 ถ้วย
  • หอมหัวใหญ่ หั่นสไลด์ 1/2 หัว
  • แครอท หั่นเป็นเส้น 1/3 หัว
  • กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือป่น 1 หยิบมือ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำข้าวผัดกิมจิ
  • นำเบคอนลงไปเซียร์ในกระทะจนน้ำมันออกมา หลังจากนั้นให้ใส่หอมหัวใหญ่ แครอท และกระเทียมสับลงไปผัดจนสุก
  • ปรุงรสด้วยเกลือป่น น้ำตาลทราย และซอสโคชูจัง
  • ใส่ข้าวที่เตรียมไว้ลงไป แล้วผัดให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จ

8. จาจังมยอน

ใครสายเส้นต้องไม่พลาดเมนูนี้ จาจังมยอน เมนูอาหารเกาหลียอดฮิตในซีรีย์เกาหลีที่เห็นพระเอกนางเอกรับประทานทีไร ต้องอยากกินตามทุกที ใครที่อยากลองทำอาหารเกาหลีเมนูนี้ เราได้หาสูตรที่ทำตามง่าย ๆ มาให้แล้ว วัตถุดิบจาจังมยอน
  • เส้นบะหมี่สำหรับทำจาจังเมียน 1 ก้อน
  • หมูสามชั้นหั่นสไลด์ 200 กรัม
  • หัวไชเท้า หั่นสไลด์ 1 ถ้วย
  • มันฝรั่ง หั่นเต๋า 1 ถ้วย
  • หอมหัวใหญ่ หั่นสไลด์ 1 ถ้วย
  • ซอสชุนจัง 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • เกลือ 1 หยิบมือ
  • แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ ละลายกับน้ำเปล่า 1/4 ถ้วย
  • น้ำมันงา 1 ช้อนชา
  • น้ำเปล่า 2 ถ้วย
  • น้ำมันพืช
  • แตงกวาซอยละเอียด
ขั้นตอนการทำจาจังมยอน
  • ทำซอสจางจังมยอนก่อน โดยการใส่หมูสามชั้นลงไปผัดกับน้ำมันจนเกือบสุก เทน้ำมันออก แล้วใส่หัวไชเท้า หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่งลงไปผัดให้เข้ากัน
  • เติมน้ำเปล่าลงไปให้ท่วม ใส่ซอสชุนจัง และปรุงรสด้วยน้ำมันงา น้ำตาลทราย และเกลือ
  • ตุ๋นไฟกลางจนมันฝรั่งสุก แล้วใส่แป้งมันที่ผสมน้ำลงไปเพื่อเพิ่มความข้นของน้ำซอส คนให้น้ำแป้งมันเข้ากับน้ำซอสเป็นอันเสร็จ
  • ลวกเส้นบะหมี่ในน้ำร้อน แล้วนำไปแช่ในน้ำเย็นจัด
  • ตักเส้นใส่จานให้สวยงาม ราดน้ำซอสจาจังมยอนลงไป ตกแต่งด้วยแตงกวาซอย เป็นอันเสร็จ

9. ทัคคาลบี้

เมนูอาหารเกาหลีสุดท้ายที่เรานำมาฝากในวันนี้ก็คือ ทัคคาลบี้ เมนูกระทะร้อนสุดอร่อยที่รับประทานได้ทั้งครอบครัว จะทำเป็นมื้ออาหารปกติ หรือเมนูสำหรับปาร์ตี้ก็เข้ากัน แถมวิธีทำยังง่ายมาก ๆ ด้วย วัตถุดิบทัคคาลบี้
  • เนื้อสะโพกไก่ หั่นเป็นชิ้น ๆ 300 กรัม
  • ต็อกบ็อกกีเส้นสด 1 ถ้วย
  • กะหล่ำปลี หั่นเป็นชิ้น ๆ 3 ถ้วย
  • ต้นหอมญี่ปุ่น หั่นสไลด์ 2 ถ้วย
  • แครอท หั่นสไลด์ 1/2 ถ้วย
  • มันฝรั่ง หั่นสไลด์ 1/2 ถ้วย
  • หอมใหญ่ หั่นสไลด์ 1/2 ถ้วย
  • พริกชี้ฟ้าเขียว หั่นสไลด์ 1/4 ถ้วย
  • กระเทียม 3 ช้อนโต๊ะ
  • ขิงสับ 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
  • โคชูจัง 3 ช้อนโต๊ะ
  • พริกป่นเกาหลี 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำซุป 1/4 ถ้วย
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนการทำทัคคาลบี้
  • หมักเนื้อสะโพกไก่ด้วยกระเทียมสับ ขิงสับ พริกป่นเกาหลี น้ำตาลทราย น้ำมันงา น้ำปลา 15 – 30 นาที
  • ในระหว่างนั้นให้ใส่น้ำมัน และจัดเรียงผักต่าง ๆ ลงไปในกระทะร้อน โดยเหลือที่ว่างตรงกลางไว้
  • ใส่เนื้อสะโพกไก่ที่หมักได้ที่แล้วลงไปตรงกลาง เปิดไฟ เติมน้ำซุป แล้วผัดให้เข้ากันจนส่วนผสมสุก
  • สามารถตักใส่จานเสิร์ฟ หรือรับประทานบนกระทะร้อนได้เลย
9 สูตรอาหารเกาหลีที่เรานำมาฝากในวันนี้ มีเมนูอาหารเกาหลีไหนที่ถูกใจกันบ้าง อย่าลืมไปลองทำกันดูนะ รับรองว่าอร่อยไม่ผิดหวังแน่นอน อย่างไรก็ตาม ถ้าได้เมนูอาหารเกาหลีที่อยากทำแล้ว แต่ยังไม่มีเตาแก๊ส หรือเตาไฟฟ้าที่ถูกใจ ให้ Tesnogas เป็นเพื่อนคู่ครัวของคุณได้ ดีไซน์สวย ฟังก์ชันครบ มาตรฐานระดับสากล นำเข้าจากประเทศอิตาลี<

5 เทคนิค อบขนมให้นุ่มฟูน่าทานแบบมืออาชีพ

5 เทคนิค อบขนมให้นุ่มฟูน่าทานแบบมืออาชีพ
อบขนมเสร็จแล้ว เนื้อขนมปังหรือเนื้อเค้กที่ได้กลับไม่นุ่มฟู มีเนื้อแข็ง หรือสุกไม่ทั่วถึง ทั้ง ๆ ที่ชั่งตวงวัตถุดิบตามสูตรเป๊ะ ๆ แล้ว นั่นอาจเกิดจากการตั้งอุณหภูมิของเตาอบขนมไม่เหมาะสม หรือเลือกเทคนิคการอบเค้ก หรือวิธีอบขนมไม่เหมาะสมกับชนิดของขนมนั้น ๆ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ด้วย 5 เทคนิคอบขนมปังที่จะทำให้ได้เนื้อขนมนุ่มฟู อร่อยน่าทาน เหมือนมืออาชีพทำเอง

อุณหภูมิที่เหมาะสมในการอบขนม

ขนมแต่ละชนิด จะใช้อุณหภูมิและเวลาในการอบขนมที่แตกต่างกัน การตั้งอุณหภูมิของเตาอบ และเวลาที่ใช้อบขนมให้เหมาะสมกับชนิดของขนมนั้น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้เนื้อขนมที่นุ่มฟู อร่อยน่าทาน เช่น
  • คุกกี้ ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 300 – 350 ฟาเรนไฮต์ / 150 – 180 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 15 – 20 นาที
  • เอแคลร์ ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 400 – 420 ฟาเรนไฮต์ / 200 – 210 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 12 นาที
  • ขนมปังแบบใส่ถาด ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 400 – 420 ฟาเรนไฮต์ / 200 – 210 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 15 นาที
  • ขนมปังแบบใส่พิมพ์ ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 350 – 375 ฟาเรนไฮต์ / 180 – 190 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 20 – 30 นาที
  • สปันจ์เค้ก ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 350 – 400 ฟาเรนไฮต์ / 180 – 200 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 30 – 40 นาที
  • เค้กปอนด์ ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 300 – 350 ฟาเรนไฮต์ / 150 – 180 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 40 – 60 นาที
  • บราวนี่ ควรอบขนมที่อุณหภูมิ 350 – 375 ฟาเรนไฮต์ / 180 – 190 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 25 – 30 นาที
นอกจากนี้อุณหภูมิที่ใช้ในการอบขนมปัง หรืออบขนมเค้กนั้นยังส่งผลต่อการใช้ไฟของเตาอบด้วย ถ้าหากมีอุณหภูมิต่ำกว่า 400 ฟาเรนไฮต์ / 200 องศาเซลเซียส ให้ใช้ไฟล่างอย่างเดียว แต่ถ้ามากกว่านั้น แสดงว่าจะต้องใช้ทั้งไฟบนและไฟล่างนั่นเอง

รวม 5 เทคนิคอบขนมด้วยเตาอบให้น่าทานแบบมืออาชีพ

1. วอร์มเตาอบก่อนใช้งาน

การอบขนมปัง หรืออบขนมเค้กให้อร่อยน่าทานตามสูตรนั้น จะต้องอบตามอุณหภูมิที่เหมาะสมตั้งแต่วินาทีแรกที่นำเข้าเตาอบ ดังนั้นการวอร์มเตาอบให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าหากไม่วอร์มเตาอบก่อนใช้งานจะทำให้ผิวของขนมอบไม่แห้งสนิท หรือเนื้อเค้กไม่ฟูได้ สำหรับเทคนิคการวอร์มเตาอบนั้น ให้ใช้เทอร์โมมิเตอร์เตาอบในการช่วยวัดอุณหภูมิ และสังเกตก่อนว่า หลังจากที่วอร์มเตาอบเรียบร้อยแล้ว เมื่อนำขนมเข้าไปอบ อุณหภูมิในเตาอบตกลงหรือไม่ หากอุณหภูมิไม่ตกลงก็ให้วอร์มเตาอบตามอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการอบขนมนั้น ๆ แต่ถ้าอุณหภูมิตกลง แนะนำให้วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิสูงกว่าเดิม โดยบวกเพิ่มไปประมาณ 86 ฟาเรนไฮต์ / 30 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้ได้อุณหภูมิสำหรับอบขนมที่เหมาะสม

2. การใช้ไฟบนและไฟล่าง

แม้ว่าอุณหภูมิสำหรับการอบขนมจะเป็นตัวกำหนดว่าจะต้องใช้ไฟล่างอย่างเดียว หรือเปิดใช้ทั้งไฟบนและไฟล่างพร้อมกัน แต่เทคนิคการอบเค้ก หรืออบขนมปังให้อร่อยน่าทานนั้น ก็มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการใช้ไฟบนและไฟล่างซ่อนอยู่ด้วย เช่น การอบคุกกี้ บราวนี่ หรือเค้ก จะต้องใช้ไฟบนและไฟล่างตลอดการอบ เพื่อให้ขนมสุกทั่วทั้งชิ้น ในขณะที่การอบเค้กจะให้ใช้ไฟล่างก่อนในช่วงแรก เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเค้กแตกตรงกลาง แล้วปรับไปใช้ไฟบนและไฟล่างพร้อมกัน หรือไฟบนอย่างเดียวในช่วงท้ายเพื่อให้หน้าขนมมีสีที่เข้มขึ้น แลดูน่ารับประทาน

3. ใช้แม่พิมพ์ในการอบขนม

แม่พิมพ์ หรือพิมพ์สำหรับอบขนมนั้น มีหลายแบบ หลายขนาด หลายรูปทรง การเลือกใช้แม่พิมพ์ให้เหมาะกับขนมนั้น ๆ จะช่วยให้ได้ขนมที่มีรูปร่างที่สวยงาม โดยแม่พิมพ์ทรงกลมจะเหมาะสำหรับการทำขนมเป็นปอนด์ เป็นก้อนใหญ่ ๆ เช่น สปันจ์เค้ก หรือชิฟฟ่อนเค้ก โดยควรใส่ประมาณ 2/3 ของแม่พิมพ์ ส่วนแม่พิมพ์แบบโลฟ (Loaf) จะเหมาะสำหรับทำขนมปังทั่วไป เช่น คัพเค้ก หรือมัฟฟิน โดยจะต้องทาไขมันรอบพิมพ์ทุกครั้งเพื่อไม่ให้เนื้อขนมติดพิมพ์ และเวลาอบขนม ไม่ควรวางชิดติดกัน เพราะจะทำให้เนื้อขนมสุกไม่ทั่วถึง

4. เคาะถาดเพื่อไล่ฟองอากาศในขนม

การเคาะถาดขนม หรือแม่พิมพ์ขนมสัก 2 – 3 ครั้ง เพื่อไล่ฟองอากาศในเนื้อแป้งออก จะช่วยให้อบขนมได้อย่างทั่วถึง ทำให้เนื้อขนมอร่อยนุ่มฟูมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้หลังจากนำถาดขนมออกจากเตาอบแล้ว ควรเคาะถาดรองอบ 2 – 3 ครั้ง เพราะจะช่วยให้ขนมเซ็ตตัวได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย จัดเป็นหนึ่งในเคล็ดลับวิธีอบขนมที่ไม่ควรมองข้าม

5. การอบขนมปังรองน้ำ

ขนมบางชนิดต้องการอุณหภูมิในการอบขนมที่ต่ำ แต่มีความร้อนสม่ำเสมอ เช่น ขนมที่มีไข่เป็นส่วนประกอบหลักอย่าง คัสตาร์ด ชีสเค้ก หรือเครมบรูเล่ ถ้าอบด้วยวิธีปกติก็จะทำให้ขนมสุกเร็วเกินไป และมีเนื้อสัมผัสแห้ง ซึ่งการอบรองน้ำจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ โดยน้ำจะช่วยกระชายความร้อนให้สม่ำเสมอทั่วแม่พิมพ์ ทำให้ขนมสุกพร้อมกัน และมีไอน้ำที่ช่วยป้องกันไม่ให้หน้าขนมแตก จะเห็นได้ว่า อุณหภูมิในการอบขนมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เนื้อขนมอร่อยนุ่มฟู ผู้ทำขนมจึงควรเลือกใช้เตาอบขนมที่ได้มาตรฐาน สามารถให้อุณหภูมิความร้อนคงที่ และมีฟังก์ชันใช้งานที่หลากหลาย ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ ซึ่ง Tesnogas เป็นอีกหนึ่งแบรนด์เตาอบขนมจากอิตาลีที่ไม่ควรพลาด การันตีด้วยประสบการณ์การให้บริการยาวนานกว่า 60 ปี

10 สัญญาณเตือนหัวแก๊สตัน พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้น

10 สัญญาณเตือนหัวแก๊สตัน พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้น
ห้องครัวส่วนใหญ่ของคนไทย มักใช้ “เตาแก๊ส” สำหรับประกอบอาหาร เพราะเป็นเตาหุงต้มที่หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง ใช้งานได้แม้ในที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ในปัจจุบันเตาแก๊สถูกพัฒนาออกมาหลายรูปแบบ เช่น เตาแก๊สอัตโนมัติเตาแก๊สพร้อมเตาอบหรือที่เรียกว่า “เตาตั้งพื้น” หรือเตาแก๊สพกพา เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเตาแก๊สชนิดไหน ก็สามารถเกิดปัญหาหัวเตาแก๊สตันได้ทั้งนั้น โดยในบทความนี้ Tesnogas จะพาไปทำความรู้จักกับ 10 สัญญาณเตือน หัวแก๊สตัน พร้อมแนะนำวิธีซ่อมเตาแก๊ส เบื้องต้น ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเอง จะน่าสนใจแค่ไหนนั้น ไปดูกันเลย

รวม 10 สัญญาณเตือนหัวเตาแก๊สตัน

1. หัวเตาด้านบนไม่ทำงาน

หัวเตาแก๊สด้านบนไม่ทำงาน ไม่สามารถจุดไฟให้ติดได้ เกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ๆ คือ ชุดนำไฟแก๊สเสียทั้งหมด หัวแก๊สมีสิ่งสกปรกอุดตันอยู่ และแก๊สหมด ในเบื้องต้นแนะนำให้ตรวจดูปริมาณแก๊สก่อน หากยังมีแก๊สอยู่ แต่ไม่สามารถจุดไฟได้ ให้ทำความสะอาดหัวเตา แล้วจุดไฟนำใหม่ อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถจุดไฟได้หลังจากที่ทำความสะอาดหัวเตาแก๊ส หรือเปลี่ยนถังแก๊ส ควรเรียกช่างซ่อมเตาแก๊สมาตรวจสอบทันที

2. เปลวไฟเป็นสีเหลืองส้ม

เปลวไฟเป็นสีเหลืองส้มเกิดจากแก๊สมีส่วนผสมของอากาศน้อยเกินไป หรือไม่มีส่วนผสมของอากาศเลย ทำให้เชื้อเพลิงที่ได้เกิดจากแก๊สเพียงอย่างเดียว ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ โดยการตรวจสอบหัวเปิดอากาศด้านในเตาแก๊สว่าปิดอยู่หรือไม่ หากปิดอยู่ก็ให้หมุนเปิดช่องอากาศขึ้น แล้วขันเกลียวให้แน่น เมื่อจุดไฟอีกครั้งไฟก็จะกลับมาเป็นสีน้ำเงินตามปกติ

3. เปลวไฟที่หัวเตาไม่สม่ำเสมอ

เปลวไฟที่เตาไม่สม่ำเสมอ เตาแก๊สไฟไม่แรง เกิดจากหัวเตาแก๊สอุดตันจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ เช่น เศษอาหาร คราบน้ำมัน หรือแมลง วิธีการแก้ไขปัญหาสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการทำความสะอาดหัวเตาแก๊สให้เรียบร้อย เริ่มจากใช้น้ำยาล้างจาน หรือสารขจัดคราบมันฉีดพรมให้ทั่ว เช็ดทำความสะอาดด้วยฟองน้ำ ขัดด้วยแปรง แล้วใช้แหนบคีบสิ่งสกปรกเล็ก ๆ ที่ทำให้หัวแก๊สตันออกมา เท่านี้ก็ทำให้เตาแก๊สกลับมาทำงานได้ตามปกติแล้ว

4. หัวเตาทำให้เกิดเขม่าดำที่ภาชนะ

ปัญหาหัวเตาทำให้เกิดเขม่าดำที่ภาชนะมีสาเหตุเดียวกับเปลวไฟมีสีเหลืองส้ม เกิดจากแก๊สมีส่วนผสมของอากาศน้อยเกินไป หรือไม่มีส่วนผสมของอากาศเลย ซึ่งเชื้อเพลิงที่เกิดจากแก๊สเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดเขม่าดำที่ภาชนะได้ วิธีแก้ปัญหา ให้เปิดช่องอากาศในเตาแก๊สให้เรียบร้อย หากเปลวไฟกลับมาเป็นสีน้ำเงินก็แสดงว่าใช้ได้แล้ว

5. เปลวไฟพุ่งขึ้นสูง และมีเสียงดัง

เปลวไฟพุ่งขึ้นสูงและมีเสียงดังมีสาเหตุตรงกันข้ามกับเปลวไฟสีส้ม เพราะเกิดจากการที่แก๊สมีส่วนผสมของอากาศมากเกินไป หากเกิดปัญหานี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับช่องอากาศให้เหมาะสม โดยหมุนปิดช่องอากาศลงจากเดิม และขันเกลียวให้แน่น

6. แก๊สรั่ว และมีกลิ่นแก๊ส

ปัญหาแก๊สรั่ว หรือมีกลิ่นแก๊สขณะใช้งาน เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ท่อแก๊สเก่าเกินไป ท่อแก๊สหลุดจากข้อต่อ แหวนรองยางวาล์วขาดหรือเก่า หรือมีการต่อวาล์วเตาแก๊สไม่ดี เมื่อเกิดปัญหามีแก๊สรั่วและมีกลิ่นแก๊สขึ้นแล้ว ควรรีบตรวจหาสาเหตุและแก้ไขให้เรียบร้อย อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจเป็นอันตรายได้ โดยให้ลองเปลี่ยนท่อแก๊ส เปลี่ยนแหวนรองยางวาล์ว และต่อวาล์วใหม่ดูก่อน หากลองจุดเตาแล้วไม่มีกลิ่นแก๊ส แสดงว่าใช้ได้ แต่ถ้ายังมีกลิ่นแก๊สอยู่ แนะนำให้เรียกช่างซ่อมเตาแก๊สมาซ่อมจะดีกว่า

7. เปิดใช้แล้วหน้าเตาไหม้

ปัญหาเปิดใช้เตาแก๊สแล้วหน้าเตาไหม้ มีไฟแรงเกินไป เกิดจากการเลือกใช้หัวปรับแรงดันแก๊สที่มีแรงดันสูงเกินไป หรือหัวปรับแรงดันแก๊สเสีย หรือเสื่อมสภาพจนไม่สามารถควบคุมปริมาณแก๊สได้ในระดับปกติ วิธีแก้ไขคือ ให้เปลี่ยนไปใช้หัวปรับแรงดันแก๊สสำหรับครัวเรือนที่มีแรงดันต่ำ เพื่อความปลอดภัย ควรให้ช่องซ่อมเตาแก๊สเปลี่ยนหัวปรับแรงดันให้จะเหมาะสมกว่า

8. เปลวไฟดับง่าย

เปลวไฟดับง่าย เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ วาล์วแก๊สเสียหาย ทำให้ปล่อยแก๊สมาได้ไม่เสถียร และตั้งเตาแก๊สในบริเวณที่มีลมพัดแรงเกินไป ในเบื้องต้นให้ลองเปลี่ยนที่ตั้งของเตาแก๊สดูก่อน ถ้าหากเปลวไฟยังคงดับง่ายอยู่ ค่อยเปลี่ยนวาล์วใหม่ให้เรียบร้อย

9. ปิดเตาแก๊สแล้วไฟไม่ดับ

ปิดเตาแก๊สแล้วไฟไม่ดับ เกิดจากวาล์วแก๊สหมดสภาพการใช้งาน หรือเสียหาย ทำให้มีการปล่อยแก๊สตลอดเวลา ในเบื้องต้นให้เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทก่อน หลังจากนั้นให้รีบเรียกช่างซ่อมเตาแก๊สมาทำการเปลี่ยนวาล์วใหม่ทันที

10. จุดไฟจากเตาไม่ติด

จุดไฟจากเตาไม่ติด เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ท่อสปาร์คอุดตัน หัวแก๊สตัน หัวปรับแรงดันเสีย หรือเข็มจุดไฟสกปรก วิธีแก้ไขเบื้องต้นให้ลองทำความสะอาดเตาแก๊สดูก่อน แต่ถ้าหลังจากทำความสะอาดแล้ว เตาแก๊สยังคงไม่สามารถใช้งานได้ ควรส่งเตาแก๊สไปให้ช่างซ่อมเตาแก๊สตรวจสอบ เตาแก๊สเป็นอุปกรณ์ประกอบที่ใช้งานง่าย ราคาไม่แพง แต่ก็อาจเกิดปัญหาการใช้งานต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น หัวแก๊สตัน เตาแก๊สไฟไม่แรง หรือมีกลิ่นแก๊ส แต่ไม่จำเป็นต้องกังวล หากคุณเลือกซื้อเตาแก๊สจาก Tesnogas แบรนด์เครื่องครัวชั้นนำจากอิตาลีที่มีประวัติยาวนานกว่า 60 ปี นอกจากจะเป็นเตาแก๊สที่มีมาตรฐานการผลิตระดับสากลแล้ว ยังมีการรับประกันสินค้าชำรุดบกพร่องจากการผลิต หรือการขนส่งสินค้า อีกทั้งยังมีบริการติดตั้งโดยช่างซ่อมเตาแก๊สผู้เชี่ยวชาญด้วย

รวม 10 สูตร “เมนูเนื้อวัว” ยอดฮิต ทำเองได้ไม่ยุ่งยาก

รวม 10 สูตร "เมนูเนื้อวัว" ยอดฮิต ทำเองได้ไม่ยุ่งยาก
ใครที่เป็นสายเนื้อเลิฟเวอร์มารวมกันทางนี้! Tecnogas ได้รวบรวม 10 เมนูเนื้อวัวยอดนิยมมาไว้ที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น เมนูเนื้อไว้กินเล่น ๆ เมนูข้าวจานเดียว แกงเนื้อ รวมครบเมนูจากเนื้อวัวทั้งไทยและเทศ ทำตามได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก เผยเคล็ดลับความอร่อยหมดเปลือก ทั้งวัตถุดิบและวิธีทำ ไปดูกันเลย

รวม 10 เมนูเนื้อวัวยอดฮิตที่ทำเองได้ที่บ้าน

1. เนื้อแดดเดียว

เปิดประเดิมเมนูจากเนื้อวัวแรกด้วย “เนื้อแดดเดียว” เมนูเนื้อวัวสุดโปรดของทุกบ้าน แค่ทอดร้อน ๆ กินคู่กับข้าวเหนียวนุ่ม ๆ ก็อร่อยจนหยุดไม่อยู่ เผลออีกก็หมดไปหลายชิ้นแล้ว สำหรับใครที่ทนหิวไม่ไหว เรามีเคล็ดลับการทำเนื้อแดดเดียวง่าย ๆ เนื้อไม่เหนียว วัตถุดิบน้อย มาฝาก วัตถุดิบเนื้อแดดเดียว
  • เนื้อวัวสันนอก 1,000 กรัม (สามารถเลือกส่วนของเนื้อได้ตามใจชอบ)
  • น้ำปลาแท้ 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • พริกไทยเม็ด 2 ช้อนชา
ขั้นตอนทำเนื้อแดดเดียวแบบง่าย ๆ
  • เตรียมเนื้อวัวให้เรียบร้อย โดยการหั่นสไลด์เนื้อเป็นเส้นยาว หั่นตามลายเนื้อ ไม่หั่นตัดขวางลายเนื้อไม่งั้นจะทำให้เนื้อวัวเหนียว
  • เตรียมเครื่องหมัก โขลกพริกไทยเม็ดแบบหยาบ
  • ผสมเนื้อวัวกับเครื่องหมักให้เรียบร้อย ปรุงรสด้วยน้ำปลาแท้และน้ำตาลทราย
  • นำเนื้อที่ได้ไปวางเรียงบนถาด แล้วนำไปตากแดดจัดประมาณ​ 30 – 60 นาที สามารถพลิกกลับได้ โดยเนื้อจะต้องมีลักษณะตึง ๆ แห้ง ๆ ด้านนอก แต่ยังมีความชื้นด้านใน
  • นำเนื้อแดดเดียวที่ได้ไปทอด หรือย่างตามใจชอบ กินคู่กับข้าวเหนียวนุ่ม ๆ แกล้มกับผักสด

2. เสื้อร้องไห้

เมนูเนื้อถัดมาที่เราจะมาแนะนำ คือ “เสือร้องไห้” เมนูเนื้อวัวทานเล่นสุดโปรดของใครหลาย ๆ คน จะทำไว้กินเล่น กินคู่กับข้าว หรือเป็นอาหารในปาร์ตี้ก็เข้ากันไปหมด วัตถุดิบเสือร้องไห้
  • เนื้อวัวส่วนอก 400 กรัม
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย 1 – 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  • ส่วนผสมของน้ำจิ้มแจ่ว ได้แก่ น้ำตาลมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ ข้าวคั่ว พริกป่น ผักชีฝรั่ง และต้นหอม
ขั้นตอนทำเสือร้องไห้
  • นำเนื้อวัวส่วนอกและเครื่องปรุงผสมให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ในตู้เย็น 1 คืน
  • นำเนื้อวัวที่หมักได้ที่ไปย่างบนเตาถ่าน เตาไฟฟ้า หรือเตาอบก็ได้ ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล
  • ทำน้ำจิ้มแจ่ว โดยการผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ปรุงรสตามใจชอบ
  • หั่นสไลด์เนื้อบาง ๆ กินคู่กับน้ำจิ้ม และผักสด อร่อยที่สุด!

3. เนื้อย่างและแจ่ว

ใครสายเมนูอีสาน ชอบกินส้มตำปูปลาร้าเป็นชีวิตใจ ต้องไม่พลาดเมนูเนื้อย่างและแจ่วสุดอร่อย กินคู่กับส้มตำแซ่บ ๆ ข้าวเหนียวนุ่ม ๆ เข้ากันที่สุด ทำตามได้ไม่ยาก วัตถุดิบเนื้อย่างและแจ่ว
  • เนื้อวัวติดมัน 1 กิโลกรัม
  • น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทย 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • ส่วนผสมของแจ่ว ได้แก่ น้ำมะขามเปียก 2 ถ้วยตวง น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ ข้าวคั่ว 1/2 ช้อนโต๊ะ ผักชีฝรั่ง 1 ช้อนโต๊ะ และหอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนทำเนื้อย่างและแจ๋ว
  • ใช้ส้อมจิ้มเนื้อเนื้อวัวติดมัน เพื่อให้เนื้อนุ่มขึ้น และเครื่องปรุงเข้าเนื้อมากยิ่งขึ้น
  • นำเนื้อวัวติดมันไปผสมกับน้ำมันหอย ซอสปรุงรส และพริกไทย ให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 30 นาที
  • ในระหว่างที่รอเนื้อ ให้ไปทำน้ำจิ้มแจ่ว โดยการนำส่วนผสมทั้งหมดคนให้เข้ากัน โรยผักชีฝรั่งและหอมแดงซอย
  • เมื่อเนื้อวัวหมักได้ที่แล้ว ให้นำไปย่างบนเตาถ่าน จะได้เนื้อย่างหอม ๆ แสนอร่อย
  • เนื้อสุกในระดับที่ชอบแล้ว ให้หั่นสไลด์บาง ๆ กินคู่กับน้ำจิ้มแจ่วสุดแซ่บ!

4. สตูเนื้อ

ทำเมนูเนื้อวัวสายแซ่บมามากแล้ว ขอเอาใจคนรักเนื้อสายละมุนกันบ้าง ด้วยเมนูสตูเนื้อสุดอร่อย เนื้อตุ๋นนุ่ม ๆ สไตล์ตะวันตกที่ใครได้รับประทานรับรองว่าติดใจ เตรียมเครื่องให้พร้อม แล้วไปลุยกันเลย วัตถุดิบสตูเนื้อ
  • เนื้อวัว หั่นลูกเต๋าใหญ่ ขนาดประมาณ 1 นิ้ว 500 กรัม
  • เนยกระเทียม (เนยสดตีกับกระเทียมและโรสแมรี่) 4 ช้อนโต๊ะ
  • หอมหัวใหญ่ หั่นชิ้นใหญ่ 150 กรัม
  • แครอท หั่นชิ้นใหญ่ 100 กรัม
  • มันฝรั่ง หั่นชิ้นใหญ่ 100 กรัม
  • มะเขือเทศ หั่นชิ้นใหญ่ 4 หัว
  • ซอสมะเขือเทศ 1 1/2 ถ้วยตวง
  • พริกไทย 3 ช้อนชา
  • วูสเตอร์ไชร์ซอส 3 ช้อนชา
  • เกลือ 1 หยิบมือ
  • น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย
ขั้นตอนทำสตูเนื้อ
  • ตั้งกระทะให้ร้อน ปรับเป็นไฟกลาง ผัดเนยกระเทียมกับหอมหัวใหญ่จนเริ่มนิ่ม แล้วใส่เนื้อวัวตามลงไป ผัดให้เข้ากัน
  • ใส่เครื่องปรุงรสที่เตรียมไว้ ผัดให้เข้ากันจนเนื้อใกล้สุก
  • นำเนื้อไปใส่ลงหม้อสำหรับตุ๋น ใส่น้ำและผักที่เหลือทั้งหมด
  • ตุ๋นด้วยไฟกลางประมาณ 1 ชั่วโมง หมั่นเปิดฝาและคนอยู่เสมอ เพื่อป้องกันก้นหม้อไหม้
  • ตักใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟ จะรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ หรือเส้นสปาเกตตี้ก็เข้ากัน

5. สเต๊กเนื้อ

อีกหนึ่งเมนูโปรดของชาวเนื้อเลิฟเวอร์ที่ห้ามพลาด นั่นก็คือ “สเต๊กเนื้อ” นุ่ม ๆ เมนูดินเนอร์สุดหรูที่ไม่ว่าจะกินเมื่อไรก็สร้างความฟินได้ตลอดเวลา โดยสูตรสเต๊กเนื้อที่เรานำมาฝากในวันนี้รับรองว่าทำตามได้ไม่ยากแน่นอน! วัตถุดิบสเต๊กเนื้อ
  • เนื้อวัวส่วนริบอาย 300 กรัม 1 ชิ้น
  • เกลือทะเลและพริกไทยดำบดหยาบเล็กน้อย
  • น้ำมันมะกอกเล็กน้อย
ขั้นตอนทำสเต๊กเนื้อง่าย ๆ
  • ปรุงรสเนื้อด้วยเกลือ พริกไทยดำ และน้ำมันมะกอก แล้วนำไปเซียร์ในกระทะจนได้ระดับความสุกตามชอบ
  • จะกินสเต๊กเนื้อเปล่า ๆ กินคู่กับน้ำจิ้มแจ่ว หรือซอสเกรวี่หอม ๆ ก็เลือกได้ตามใจ

6. ข้าวหน้าเนื้อญี่ปุ่น

เมนูจากเนื้อวัวยอดฮิตจะไม่มีเมนูข้าวหน้าเนื้อญี่ปุ่นรวมอยู่ในนั้นได้อย่างไร ทั้งเนื้อวัวหอม ๆ ข้าวญี่ปุ่นนุ่ม ๆ ใครที่ไม่เคยกินเมนูนี้ห้ามพลาด! เพราะเรามีสูตรข้าวหน้าเนื้อต้นตำรับแท้จากญี่ปุ่นมาฝาก วัตถุดิบทำข้าวหน้าเนื้อญี่ปุ่น
  • เนื้อวัวสไลด์ 250กรัม
  • หัวหอมใหญ่ หั่นสไลด์ 1 หัว
  • น้ำซุปดาชิ 300 กรัม (น้ำดื่ม 300 กรัม ต้มกับผงซุปปลา 1 ช้อนชา)
  • โชยุชนิดสีอ่อน (Usukuchi Shoyu) 4 ช้อนโต๊ะ (60cc)
  • มิริน 4 ช้อนโต๊ะ
  • ไวน์ขาว 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำแอปเปิล 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
  • โชยุ 1/2 ช้อนชา
  • น้ำขิงคั้น 1/2 ช้อนชา
  • เกลือและพริกไทย 1 หยิบมือ
ขั้นตอนทำข้าวหน้าเนื้อญี่ปุ่น
  • ผสมเครื่องปรุงทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วใส่เนื้อสไลด์กับหัวหอมใหญ่สไลด์ลงไป
  • นำไปตั้งไฟจนเดือด แล้วปรับเป็นไฟกลาง หมั่นตักฟองออก
  • เมื่อเนื้อสุกได้ที่แล้ว ให้ตักราดข้าวญี่ปุ่นเป็นอันเสร็จ หรือจะเพิ่มความอร่อยด้วยไข่ออนเซ็นก็ได้

7. แกงมัสมั่นเนื้อ

ทำเมนูข้าวก็แล้ว เมนูย่างก็แล้ว จะขาดเมนูแกงไปได้อย่างไร ซึ่งแกงเนื้อยอดนิยมที่คนทั่วโลกยกให้เป็นอาหารที่อร่อยอันดับ 1 นั่นก็คือ แกงมัสมั่นเนื้อรสชาติเผ็ดร้อน หอมกลิ่นยี่หร่า แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะทำยาก เพราะเราคัดสูตรแกงมัสมั่นเนื้อง่าย ๆ แต่อร่อยครบรส มาให้แล้ว วัตถุดิบแกงมัสมั่นเนื้อ
  • เนื้อวัว หั่นชิ้นใหญ่ 1 กิโลกรัม
  • มันฝรั่ง หั่นชิ้นใหญ่ 700 กรัม
  • หอมใหญ่ หั่นชิ้นใหญ่ 1 หัว
  • หอมแดง หั่นชิ้นใหญ่ 3 หัว
  • พริกแกงมัสมั่น 200 กรัม
  • อบเชย 2 แท่ง
  • ลูกกระวาน 8 – 10 เม็ด
  • ใบกระวาน 3 – 4 ใบ
  • ถั่วคั่ว 100 กรัม
  • กะทิ 700 มิลลิลิตร
  • น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 หยิบมือ
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนทำแกงมัสมั่นเนื้อ
  • ตั้งกระทะ เปิดไฟแรง คั่วหอมใหญ่และหอมแดงให้มีกลิ่นหอม แล้วพักไว้
  • ใส่กะทิครึ่งหนึ่งลงไปในกระทะใบเดิม เคี่ยวให้กะทิแตกมัน แล้วใส่พริกแกงมัสมั่นลงไป
  • ผัดเครื่องแกงจนมีกลิ่นหอม ใส่เนื้อวัวลงไป และผัดให้เข้ากันจนเนื้อวัวใกล้สุก
  • เติมกระทิส่วนที่เหลือลงไป พอแกงเริ่มเดือด ให้ใส่อบเชย ลูกกระวาน ใบกระวาน และถั่วคั่วลงไป
  • เคี่ยวไฟกลางประมาณ​ 1 ชั่วโมง จนเนื้อนิ่ม แล้วใส่มันฝรั่ง หอมใหญ่ และหอมแดงลงไป
  • ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าว น้ำมะขามเปียก เกลือ และน้ำปลา ตามใจชอบ โดยรสชาติของแกงมัสมั่นจะหวานนำ เค็มตาม ปิดท้ายด้วยเปรี้ยวปลาย ๆ
  • เคี่ยวต่อจนมันสุก แล้วตักเสิร์ฟกับข้าวสวย ๆ ร้อน ๆ ได้เลย

8. แกงเขียวหวานเนื้อ

ไหนใครชอบรับประทานแกงเขียวหวานเนื้อนุ่ม ๆ กันบ้าง แกงเขียวหวานเนื้อนั้น เป็นหนึ่งในเมนูเนื้อวัวยอดนิยมของคนไทย จะรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ หรือขนมจีนเส้นสดก็อร่อยไปหมด วัตถุดิบก็หาง่าย ทำตามได้ไม่ยาก วัตถุดิบแกงเขียวหวานเนื้อ
  • เนื้อวัว 500 กรัม
  • มะเขือเปราะ 250 กรัม
  • มะเขือพวง 50 กรัม
  • พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด
  • ใบมะกรูด 10 ใบ
  • ใบโหระพา 30 กรัม
  • พริกขี้หนูสวนตามความชอบ
  • พริกแกงเขียวหวาน 5 ช้อนโต๊ะ
  • หัวกะทิ 400 มิลลิลิตร
  • หางกะทิ 400 มิลลิลิตร
  • น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนทำแกงเขียวหวานเนื้อ
  • หั่นมะเขือเปราะขนาดตามใจชอบ แช่ในน้ำเกลือเพื่อไม่ให้มะเขือดำ
  • หั่นพริกชี้ฟ้าแดง และฉีกใบมะกรูดให้เรียบร้อย
  • หั่นสไลด์เนื้อบาง ๆ ตามแนวขวางของลายเนื้อ เพื่อไม่ให้เนื้อเหนียว
  • ตั้งไฟแรง รวนเนื้อกับหางกะทิให้สุกพอประมาณ แล้วพักไว้
  • ใส่หัวกะทิในหม้อส่วนหนึ่ง ผัดให้แตกมัน แล้วทยอยเติมหัวกะทิลงไปเรื่อย ๆ ผัดให้แตกมันจนหมด
  • ใส่พริกแกงเขียวหวานลงไปผัดกับหัวกะทิที่แตกมันจนสุก
  • ใส่มะเขือเปราะที่แช่เกลือไว้ลงไป ผัดให้เข้ากับพริกแกงจนใกล้สุก เติมหัวกะทิ หรือหางกะทิให้ได้ระดับความข้นตามความชอบ
  • ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา และใส่เนื้อที่พักไว้ลงไป
  • โรยพริกชี้ฟ้าแดง ใบโหระพา ใบมะกรูด พริกขี้หนู แล้วคนให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จ

9. กะเพราเนื้อและไข่ดาว

ผัดกะเพราเป็นเมนูโปรดของใครหลาย ๆ คน ซึ่งหนึ่งในเนื้อสัตว์ที่เข้ากับผัดกะเพราที่สุดก็คือ ผักกะเพราเนื้อนุ่ม ๆ หอม ๆ รสชาติจัดจ้าน รับประทานคู่กับไข่ดาวกรอบ ๆ ไม่ว่าใครได้ลองก็ต้องติดใจ วัตถุดิบกระเพราเนื้อ
  • เนื้อวัวหั่นสไลด์ 250 กรัม
  • พริกแดงจินดา 40 กรัม
  • กระเทียม 30 กรัม
  • ใบกะเพรา 15 กรัม
  • ซอสหอยนางรม 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
  • พริกไทย 1/2 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำผัดกระเพราเนื้อ
  • โขลกพริกแดงจินดากับกระเทียมพอหยาบ
  • ตั้งไฟแรง ใส่น้ำมันเล็กน้อย ผัดกระเทียมและพริกที่โขลกไว้ให้หอม แล้วใส่เนื้อวัวลงไปผัด
  • ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม น้ำปลา น้ำตาลทราย พริกไทย
  • ผัดจนเนื้อสุก โรยใบกะเพรา ปิดไฟ แล้วผัดให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จ

10. เนื้อทอดน้ำมันหอย

เมนูเนื้อวัวสุดท้ายที่เราเอามาฝากในวันนี้ก็คือ เนื้อทอดน้ำมันหอยแสนอร่อย เมนูจากเนื้อวัวที่กินได้ทุกเพศทุกวัย จะทำทานเป็นมื้อหลัก หรือทำใส่กล่องเวลาไปปิกนิกนอกบ้านก็ได้หมด วัตถุดิบน้อย วิธีทำง่ายที่สุด วัตถุดิบเนื้อทอดน้ำมันหอย
  • เนื้อวัว หั่นสไลด์ 350 กรัม
  • ซอสหอยนางรม 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ้วดำหวาน 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทย 1/2 ช้อนชา
  • แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนทำเนื้อทอดน้ำมันหอย
  • นำเนื้อวัวผสมกับเครื่องปรุงทั้งหมดให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 30 – 60 นาที
  • นำเนื้อวัวที่หมักไว้ไปทอดในน้ำมัน ตั้งกระทะไฟแรง ทอดจนได้ระดับความสุกที่พอใจ เป็นอันเสร็จ

เมนูเนื้อวัวยอดฮิตที่คนไทยนิยมมาอย่างยาวนาน

10 เมนูเนื้อวัวที่ Tecnogas เอามาฝากในวันนี้ มีเมนูไหนที่โดนใจคุณบ้าง หวังว่าจะได้สูตรเมนูเนื้อเด็ด ๆ ไปทำกินกับคนในครอบครัวในทุก ๆ วัน อย่างไรก็ตาม การทำอาหารให้อร่อยนั้น นอกจากสูตรเด็ด ๆ และวัตถุดิบที่ได้คุณภาพแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คืออุปกรณ์เครื่องครัวที่มีคุณภาพ ควรเลือกใช้เตาไฟฟ้า หรือเตาอบ ที่ได้มาตรฐาน สามารถปล่อยอุณหภูมิความร้อนคงที่ รับรองว่าทำเมนูไหนก็อร่อย!

Follow Us

TEL. 02-274-3434
EMAIL : webmaster@sbo-brand.com

The Signature Brand Co., Ltd. 
771 Pracha Uthit Road, Samsen Nok,Huai Khwang District, Bangkok 10310