ข้าวเหนียวมูนวิธีทำเป็นอย่างไร? แจกสูตรการทำง่าย ๆ แต่อร่อยแบบมืออาชีพ!

ข้าวเหนียวมูนวิธีทำ
“ข้าวเหนียวมูน” เป็นหนึ่งในส่วนผสมของขนมไทยที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะสามารถนำมารับประทานคู่กับผลไม้และขนมต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น มะม่วง มะยงชิด ทุเรียน ถั่วดำ ปลาแห้ง กลอย หรือสังขยา เป็นต้น ใครที่สามารถทำข้าวเหนียวมูนได้อร่อย รสชาติหวานมันแบบพอดี รับรองว่าจะช่วยให้ทำเมนูขนมไทยได้เพิ่มขึ้นหลายเมนูแน่นอน แล้วข้าวเหนียวมูนวิธีทำเป็นอย่างไร ควรเลือกใช้ข้าวเหนียวประเภทไหน Tesnogas ได้คัดสรรสูตรข้าวเหนียวมูนแบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก แต่ได้รสชาติแบบไทยแท้มาให้คุณแล้ว

ควรใช้ข้าวอะไรทำข้าวเหนียวมูน

ก่อนที่จะไปดูวิธีทำข้าวเหนียวมูน คุณควรที่จะรู้ก่อนว่าข้าวชนิดไหนที่ควรนำมาทำข้าวเหนียวมูน เพราะ “ข้าว” ถือเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญที่สุดของการทำเมนูนี้ สำหรับใครที่จะทำข้าวเหนียวมูนนั้น แนะนำให้เลือกใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงู (เก่า) จากเชียงราย ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมจากจังหวัดเชียงรายที่คนนิยมนำมามูนกัน เพราะมีเมล็ดที่เรียวยาวสวยงาม เมื่อนึ่งจนสุกแล้ว จะมีสีขาว เกาะตัวเหนียว ดูดน้ำกะทิได้ดี ผิวมีความเลื่อมมันสวย แต่ไม่เละ เนื้อสัมผัสนุ่มละมุน และมีกลิ่นหอม ใครที่ใช้ข้าวเหนียวพันธุ์นี้มูน รับรองว่าจะได้ข้าวเหนียวมูนที่ดีอย่างแน่นอน

ส่วนผสมของข้าวเหนียวมูน

สำหรับส่วนผสมของข้าวเหนียวมูน มีดังนี้
  • ข้าวเหนียวเขี้ยวงู (เก่า) จากเชียงราย 1 กิโลกรัม
  • สารส้มก้อนใหญ่สำหรับขัดข้าวเหนียวให้มันเงา
  • หัวกะทิ 500 กรัม (หากไม่มีสามารถใช้กะทิกล่องพาสเจอไรซ์ได้)
  • น้ำตาลทราย 450 กรัม
  • เกลือ 1 ช้อนชา

ข้าวเหนียวมูน วิธีทำเป็นอย่างไร

การทำข้าวเหนียวมูนนั้น มีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยากเลย แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานในการแช่ข้าวเหนียว โดยวิธีการทำ มี 3 ขั้นตอนดังนี้

1.แช่และนึ่งข้าวเหนียว

ขั้นตอนแรก ให้นำข้าวเหนียวใส่ชามผสม เติมน้ำสะอาดให้พอท่วม แล้วขัดข้าวเหนียวกับสารส้มอย่างเบามือประมาณ 5 – 10 นาที การใช้สารส้มขัดข้าวเหนียวนั้น จะช่วยให้ข้าวเหนียวมูนมีลักษณะที่มันเงาสวยงาม หลังจากที่ขัดด้วยสารส้มเรียบร้อย ให้นำไปล้างด้วยน้ำสะอาด 3 – 5 รอบจนน้ำใสดี และนำข้าวเหนียวไปแช่ในน้ำสะอาดอย่างน้อย 3 ชั่วโมง หรือข้ามคืนเลยก็ได้ เมื่อแช่ข้าวเหนียวเสร็จแล้ว ให้นำไปสะเด็ดน้ำ และห่อด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำหมาด ๆ แล้วนำไปนึ่งด้วยความร้อนระดับปานกลางประมาณ 30 นาที ไม่ควรนึ่งให้ข้าวเหนียวสุกจนเกินไป เพราะจะทำให้เม็ดขาวบาน ไม่สวยงามได้

2.ทำน้ำกะทิสำหรับมูนข้าวเหนียว

การเตรียมน้ำกะทิสำหรับมูนข้าวเหนียวนั้น ทำได้ง่ายมาก ๆ แค่นำหัวกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือใส่ลงไปหมอ เปิดเตาแก๊สตั้งไฟให้พอเดือด แล้วคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี หลังจากนั้นให้ยกลงจากเตา และพักไว้ให้เย็นลง เพียงเท่านี้ก็ได้น้ำกะทิสำหรับไว้มูนข้าวเหนียวแล้ว

3.มูนข้าวเหนียว

สำหรับวิธีการมูนข้าวเหนียวนั้น ให้นำข้าวเหนียวที่เรานึ่งสุกแล้ว เทลงใส่ภาชนะที่มีฝาปิด แล้วใส่กะทิมูนข้าวที่พักไว้ให้ “เย็น” แล้ว ลงไปในข้าวเหนียวร้อน ๆ หลังจากนั้นให้ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที เมื่อครบเวลาแล้ว ให้เปิดฝา แล้วพลิกข้าวเหนียวอีกด้านหนึ่ง และปิดฝาอีกครั้ง ทิ้งไว้ 10 นาที หลังจากนั้นให้พักข้าวเหนียวให้เย็นลงเล็กน้อย ก็จะได้ข้าวเหนียวมูนที่ดูดน้ำกะทิอย่างเข้มข้น สามารถนำไปกินคู่กับผลไม้ หรือขนมที่ชอบได้เลย โดยสูตรนี้สามารถเก็บไว้ในกล่องสุญญากาศที่อุณหภูมิห้องประมาณ 2 วัน เป็นยังไงกันบ้างกับสูตรข้าวเหนียวมูนที่เรานำมาฝากในบทความนี้ เรียกได้ว่า บอกวิธีการทำข้าวเหนียวมูนอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกพันธุ์ข้าวเหนียว การเตรียมข้าวเหนียว ไปจนถึงวิธีการมูน หากทำตามขั้นตอนเหล่านี้ รับรองว่าคุณจะได้ข้าวเหนียวมูนแสนอร่อยรสชาติไทยแท้ ๆ ไว้รับประทานคู่กับผลไม้ หรือหน้าขนมต่าง ๆ ที่ชอบอย่างแน่นอน

แจก 5 สูตรเมนูขนมทุเรียน จากเตาอบและเตาแก๊ส

แจก 5 สูตรเมนูขนมทุเรียน จากเตาอบและเตาแก๊ส
เข้าสู่หน้าทุเรียนกันแล้ว ใครที่เป็นสาวกทุเรียนคงจะรีบไปซื้อมากินกันอย่างเอร็ดอร่อย สำหรับคนที่ซื้อแบบเอาแต่เนื้อก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะน่าจะกินกันหมดทุกครั้ง แต่บ้านไหนที่ชอบสั่งซื้อทุเรียนมาตุนไว้ทีละหลาย ๆ ลูก ก็อาจเกิดปัญหากินไม่ทันบ้าง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทุกคนสามารถกินทุเรียนได้อร่อยมากยิ่งขึ้น หมดปัญหากินทุเรียนไม่ทัน Tesnogas ได้รวม 5 สูตรขนมทุเรียนแสนอร่อยมาฝาก ทำได้ทั้งจากเตาอบขนม และเตาแก๊ส รับรองว่าเมนูทุเรียนที่เราคัดสรรมา ไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน

รวม 5 สูตรเด็ด “ขนมทุเรียน” ทำง่ายอร่อยมาก

ใครที่อยากลองกินทุเรียนในรสชาติ ๆ เตรียมเนื้อทุเรียนไว้ให้พร้อม เพราะเราจะพาคุณไปทำขนมจากทุเรียนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ข้าวเหนียวทุเรียน เค้กทุเรียน หรือทุเรียนทอด เอาไว้กินคู่กับน้ำชา หรือกินเล่นเวลาดูหนังก็ได้ จะน่าสนใจแค่ไหนนั้น ไปดูกันเลย!

1.ข้าวเหนียวทุเรียน

เมนูขนมจากทุเรียนเมนูแรกที่เราจะแนะนำก็คือ “ข้าวเหนียวทุเรียน” หนึ่งในเมนูขนมไทยที่เป็นของโปรดของใครหลาย ๆ คน สำหรับใครที่ชอบรับประทานข้าวเหนียวมูนหอมกะทิหวานมัน คู่กับทุเรียนเนื้อเนียนนุ่ม จะต้องไม่พลาดเมนูนี้ ส่วนผสมของข้าวเหนียวทุเรียน
  • ส่วนผสมของข้าวเหนียวมูน : ข้าวสารข้าวเหนียว 350 กรัม กะทิ 200 กรัม น้ำตาลทราย 40 กรัม เมล็ดทุเรียน และใบเตย 2 – 3 ใบ
  • ส่วนผสมของน้ำราดกะทิ : น้ำกะทิ 300 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 20 กรัม เนื้อทุเรียน 100 กรัม และน้ำตาลปี๊บ 1 ก้อนเล็ก
วิธีทำข้าวเหนียวทุเรียนแบบง่าย ๆ
  • เริ่มจากทำข้าวเหนียวมูน โดยการนำข้าวสารข้าวเหนียวไปล้างจนน้ำใส แช่น้ำอย่างน้อย 1 ชั่วโมง แล้วนำไปนึ่งให้สุก
  • ในระหว่างที่รอข้าวเหนียวสุก ให้นำน้ำกะทิมาเคี่ยวกับน้ำตาลทราย และเมล็ดทุเรียน โดยให้ใส่ใบเตยลงไปด้วยเพื่อเพิ่มความหอม แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร
  • นำน้ำกะทิที่เคี่ยวเสร็จแล้วลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันกับข้าวเหนียวมูน
  • ทำน้ำราดกะทิ โดยการตั้งไฟอ่อน ใส่น้ำกะทิ น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ เกลือ และเนื้อทุเรียนครึ่งหนึ่งลงไปเคี่ยวให้เข้ากัน เมื่อทุกอย่างละลายเข้ากันดีแล้วให้ใส่เนื้อทุเรียนส่วนที่เหลือ และปิดไฟทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อทุเรียนเละ
  • ตักข้าวเหนียวมูนใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำราดกะทิทุเรียน จะกินเลย หรือกินคู่กับทุเรียนทอดก็เข้ากัน

2.ทุเรียนเชื่อม

ต่อด้วยสาวกเมนูเชื่อมกันบ้าง ใครที่ชอบกินมันเชื่อม หรือกล้วยเชื่อม จะต้องติดใจกับเมนูทุเรียนเชื่อมที่เรานำมาฝากแน่นอน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปทำกันเลย ส่วนผสมของทุเรียนเชื่อม
  • เนื้อทุเรียนความสุกประมาณ 80% หรือยังคงเนื้อกรอบอยู่ 1 กิโลกรัม
  • น้ำตาลทราย 600 กรัม
  • น้ำเปล่า 1000 มิลลิลิตร
  • ใบเตย 2 – 3 ใบ
  • เกลือเล็กน้อย
  • น้ำปูนใส
  • น้ำมะนาว 2 ซีก
ขั้นตอนการทำทุเรียนเชื่อมแสนอร่อย
  • ให้ตัดส่วนขาว ๆ ของเนื้อทุเรียนออกให้หมดก่อน หลังจากนั้นนำไปแช่ในน้ำปูนใสประมาณ 30 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อทุเรียนเละ แล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
  • ตั้งไฟกลาง ใส่น้ำเปล่าและน้ำตาลทรายเคี่ยวให้เข้ากัน และใส่เกลือเล็กน้อย ในขั้นตอนนี้ถ้าใครอยากได้ความหอมจากใบเตยสามารถใส่ลงไปด้วยได้เช่นกัน
  • เมื่อส่วนผสมทั้งหมดละลายเข้ากันดีแล้วให้นำใบเตยออก ให้เบาไฟลง แล้วใส่เนื้อทุเรียนลงไป ค่อย ๆ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนน้ำเชื่อมซึมเข้าเนื้อทุเรียนดี หากน้ำงวดก็สามารถเติมน้ำเปล่าลงไปได้
  • บีบน้ำมะนาว 1 – 2 ซีกลงไป เพื่อเพิ่มความเงาวาวให้กับเนื้อทุเรียน
  • ให้ปิดไฟลง ทิ้งไว้ประมาณ​ 5 – 6 ชั่วโมง แล้วมาเติมน้ำเคี่ยวต่ออีกสักรอบหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็ได้เนื้อทุเรียนเชื่อมอร่อย ๆ พร้อมเสิร์ฟ

3.เค้กทุเรียน

เพิ่มความยากขึ้นหน่อยกับเมนูที่ต้องใช้เตาอบกันบ้าง “เค้กทุเรียน” เป็นอีกหนึ่งขนมที่รสชาติหวานอร่อยไม่แพ้เมนูเค้กอื่น ๆ ที่สำคัญยังมีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยากอีกด้วย ใครที่ชอบทำเบเกอร์รีต้องลองเมนูนี้! ส่วนผสมของเค้กทุเรียน
  • เนื้อทุเรียน 1 ถ้วย
  • เนยละลาย 1 ถ้วย
  • ไข่ไก่เบอร์ 1 3 ฟอง
  • แป้งอเนกประสงค์ 1 ถ้วย
  • นมสดจืด 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทรายขาว 3/4 ถ้วย
  • ผงฟู 1/8 ช้อนชา
  • เบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
  • ส่วนผสมของซอสทุเรียน
  • เนื้อทุเรียน 200 กรัม
  • กะทิกล่อง 150 กรัม
  • นมสดจืด 150 กรัม
  • แป้งกวนไส้ 50 กรัม
  • น้ำตาลทรายขาว 50 กรัม
  • แป้งข้าวโพด 20 กรัม
  • เกลือเล็กน้อย
  • วิธีทำเค้กทุเรียนแบบง่าย ๆ
  • เริ่มต้นจากการทำ “ซอสทุเรียน” ก่อน โดยการนำเนื้อทุเรียน กะทิ น้ำสด 100 กรัม เกลือ และน้ำตาลไปปั่นให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำไปตั้งไฟอ่อน เคี่ยวกับนมสดที่เหลืออยู่ แป้งกวนไส้ และแป้งข้าวโพดจนกลายเป็นซอสข้น ๆ เป็นอันเสร็จ
  • ต่อด้วยการทำ “เนื้อเค้กทุเรียน” โดยการเปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียสก่อน
  • ในระหว่างที่อุ่นเตา ให้นำเนยละเลยและน้ำตาลทรายมาตีให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีม ในระหว่างนั้นให้ค่อย ๆ ใส่ไข่แดงลงไปทีละฟอง ตามด้วยเนื้อทุเรียน และนมสด ตีจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี
  • ร่อนแป้ง ผงฟู และเบกกิ้งโซดาลงไป แล้วค่อยตีจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
  • เทเนื้อแป้งเค้กที่ได้ลงใส่ในพิมพ์ แล้วนำไปอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส ประมาณมาณ 40 – 50 นาที
  • ตกแต่งหน้าเค้กด้วยซอสทุเรียนเข้มข้น วิปปิ้งครีม และเนื้อทุเรียนชิ้นใหญ่เต็มคำ นำไปแช่ในตู้เย็นให้เซ็ตตัวประมาณ 1 ชั่วโมง ก็พร้อมทานได้เลย

4.ชีสเค้กทุเรียนสไตล์โฮมเมด

ไหนใครที่ชอบรับประทานชีสเค้กเนื้อนุ่ม ๆ ได้รสชีสเต็มคำกันบ้าง รู้ไหมว่า ทุเรียนก็สามารถนำมาทำขนมชีสเค้กได้เหมือนกัน แถมยังรสชาติอร่อยมากอีกด้วย ใครที่อยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไง สามารถทำตามสูตรชีสเค้กทุเรียนสไตล์โฮมเมดที่เรานำมาฝากได้เลย ส่วนผสมของชีสเค้กทุเรียน
  • แครกเกอร์ 150 กรัม
  • เนยสด 50 กรัม
  • น้ำตาลทราย 15 กรัม
  • ครีมชีส 250 กรัม
  • วิปปิ้งครีม 250 กรัม (ใช้ได้ทั้งแบบ Dairy และ Non-Dairy)
  • เนื้อทุเรียนบด หรือปั่นละเอียด 150 กรัม
  • น้ำตาลไอซิ่ง 50 กรัม
  • เกลือ 1 หยิบมือ
  • เจลาติน 2 ช้อนชา
  • น้ำเปล่า 50 กรัม
  • เนื้อทุเรียนสำหรับแต่งหน้า
ขั้นตอนการทำชีสเค้กทุเรียนสไตล์โฮมเมด
  • บดแครกเกอร์ให้ละเอียด ใส่เนยละลายและน้ำตาลทราย แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นให้ตักใส่พิมพ์ กดให้เนื้อแน่น และนำไปแช่ตู้เย็นให้เซ็ตตัว
  • นำครีมชีส วิปปิ้งครีม เนื้อทุเรียน ไอซิ่ง และเกลือ ใส่ชามผสม แล้วตีให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว
  • นำเจลาตินผสมกับน้ำ นำไปเข้าไมโครเวฟประมาณ 20 – 30 วินาที คนให้ละลายเข้ากันดี แล้วไปนำไปผสมกับครีมชีส และตีให้เข้ากันอีกครั้ง
  • ตักส่วนผสมที่ได้ใส่พิมพ์ ตกแต่งด้วยชิ้นเนื้อทุเรียน แล้วนำไปแช่ตู้เย็นให้เซ็ตตัวประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง เป็นอันเสร็จ

5.ทุเรียนทอด

เมนูสุดท้ายที่เราจะนำมาฝากกันในวันนี้ก็คือ “ขนมทุเรียนทอด” หนึ่งในเมนูทานเล่นของใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นตอนดูหนัง อ่านหนังสือ หรือปาร์ตี้ ก็กินเพลินได้ไม่มีหยุด ใครที่มีปัญหากินทุเรียนไม่ทันจะต้องไม่พลาดเมนูนี้ เพราะสามารถเก็บได้นานหลายสัปดาห์ ที่สำคัญคือขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก ส่วนผสมของทุเรียนทอด
  • ทุเรียนแก่เนื้อแข็ง (ทุเรียนแก่จะหมายถึงทุเรียนที่สามารถบ่มให้สุกได้ เนื้อข้างในเป็นสีเหลือง เม็ดสีน้ำตาลเข้ม)
  • น้ำมันพืช สำหรับทอด
  • เกลือป่น หรือเนยสด สำหรับคลุก
วิธีทำทุเรียนทอดแบบง่าย ๆ สไตล์โฮมเมด
  • ให้นำเนื้อทุเรียนมาฝานบาง ๆ ยิ่งบางมาก ยิ่งทอดให้กรอบง่ายขึ้น
  • ตั้งน้ำมันให้ร้อนจัด นำทุเรียนลงไปทอด ไม่ต้องคน เพราะจะทำให้เนื้อทุเรียนเละได้
  • เมื่อทุเรียนลอยขึ้นมา ให้เบาไฟลง ทอดจนทุเรียนแห้งกรอบ แล้วตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน
  • ปรุงรสชาติเพิ่มเติมด้วยเกลือป่น หรือเนยสด คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วกินได้เลย ทั้งนี้ถ้าใครมีผงปรุงรสอื่น ๆ เช่น ผงปาปิก้า ผงซาวครีม หรือผงชีส ก็สามารถใส่เพิ่มรสชาติได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนเลย
เป็นยังไงกันบ้างกับ 5 ขนมทุเรียนที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เห็นไหมว่า ทำตามได้ง่าย ๆ ใช้วัตถุดิบไม่เยอะ ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก ใครที่เป็นสาวกทุเรียนอย่าลืมลองไปทำตามกันดู รับรองว่าจะช่วยให้ได้รับประทานทุเรียนหลากรสชาติ หลากสไตล์ มากกว่าหน้าทุเรียนปีก่อน ๆ อย่างแน่นอน

6 อาหารคลายร้อน หวานเย็นชื่นใจทำเองได้ไม่ยุ่งยาก!

6 อาหารคลายร้อน หวานเย็นชื่นใจทำเองได้ไม่ยุ่งยาก!
อากาศร้อน ๆ แบบนี้ อาจทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวและหงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษ แต่การรับประทานอาหารอร่อย หรือขนมหวาน ๆ หอมเย็นชื่นใจ จะสามารถช่วยให้คุณอารมณ์ดีขึ้นได้ อีกทั้งยังช่วยลดอุณหภูมิร่างกายให้เย็นลงอีกด้วย สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอาหารเมนูไหนดี Tesnogas มี 6 อาหารคลายร้อน รสชาติอร่อย หวาน ๆ เย็น ๆ กินแล้วสดชื่น ที่สำคัญยังทำเองได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากมาฝาก!

รวม 6 อาหารคลายร้อน หวานอร่อยเย็นชื่นใจ

ใครที่สายขนม ไม่ว่าจะไทย หรือเทศ จะต้องชื่นชอบกับเมนูอาหารหน้าร้อนที่เรานำมาฝากแน่นอน แต่ไม่ต้องกลัวว่าขนมเหล่านี้จะมีขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก เพราะสูตรอาหารช่วยคลายร้อนที่เราคัดสรรมา ทำตามได้ง่าย ๆ แถมยังรสชาติอร่อยเหมือนไปกินที่ร้าน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย

1.วุ้นผลไม้ไข่มุก

เมนูแรกที่เราจะแนะนำก็คือ “วุ้นผลไม้ไข่มุก” ขนมทานเล่นที่มีหน้าตาที่สวยงาม รสชาติหวานเย็นสดชื่น ช่วยคลายร้อนได้ดีมาก ๆ โดยจะเป็นการเอาวุ้นมาทำเป็นไข่มุกมีไส้ผลไม้ตรงกลาง ราดด้วยน้ำเชื่อมสีสวย ใครที่เป็นสายวุ้นเลิฟเวอร์ต้องไม่พลาดเมนูนี้ ส่วนผสมของวุ้นไข่มุก
  • วุ้นทำขนม หากใช้วุ้นชนิดเส้น ใช้ ½ ถ้วย หากใช้ผงวุ้น ใช้ 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 3 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย ¼ ถ้วย
  • ผลไม้หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แนะนำให้เลือกผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน สีสันหลากสี เช่น ส้ม กีวี่ สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี หรือราสเบอร์รี่ เพื่อความสวยงาม
ส่วนผสมน้ำเชื่อม
  • น้ำเปล่า 1 ½ ถ้วย
  • น้ำตาลทราย ½ ถ้วย
  • น้ำใบเตยคั้นเล็กน้อย หรือน้ำอัญชันคั้น หรือสีผสมอาหารอื่น ๆ ก็ได้
  • น้ำแข็งป่นสำหรับเสิร์ฟ
วิธีทำวุ้นผลไม้ไข่มุก
  • ต้มวุ้นกับน้ำเดือดจนละลายหมด หากเป็นวุ้นชนิดเส้นให้แช่น้ำจนนิ่มและบีบให้แห้งก่อนนำมาต้ม
  • เมื่อวุ้นละลายหมดแล้วให้ใส่น้ำตาลทรายลงไป และต้มต่อจนน้ำตาลละลายจนหมด และน้ำเป็นสีใส นำไปพักจนเหลือแค่ระดับอุ่น ๆ
  • ใส่ผลไม้ลงไปในพิมพ์น้ำแข็งทรงลูกแก้ว เทวุ้นใส่ลงไปให้เต็ม แล้วปิดให้สนิท ทิ้งไว้จนเย็นดีแล้ว นำไปแช่เย็นจนวุ้นแข็งตัวดี
  • ในระหว่างที่รอวุ้นผลไม้แข็งตัว ให้ทำน้ำเชื่อม โดยการต้มน้ำเปล่ากับน้ำตาลละลายจนหมด และพักไว้จนเกือบเย็น ในขั้นตอนนี้สามารถเพิ่มสีสันของน้ำเชื่อมด้วยน้ำใบเตยคั้น หรือสีผสมอาหารก็ได้
  • นำวุ้นผลไม้ไข่มุกใส่จาน ราดด้วยน้ำเชื่อมสีสวย และโรยน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่น เป็นอันเสร็จ

2.เต้าฮวยมะพร้าวอ่อน

เอาใจคนที่ชอบกินเนื้อเต้าฮวยนุ่ม ๆ ละมุนลิ้น กินเมื่อไรก็ไม่มีเบื่อกับเมนูเต้าฮวยมะพร้าวอ่อน ที่มีการนำเนื้อและน้ำมะพร้าวอ่อนหอม ๆ มาช่วยชูรสเต้าฮวยมากยิ่งขึ้น ใครที่อยากกินแล้ว รีบจดสูตร แล้วไปทำตามกันเลย ส่วนผสมเนื้อเต้าฮวยมะพร้าวอ่อน
  • ผงวุ้น 1 ช้อนช้า
  • น้ำมะพร้าวอ่อน 330 มิลลิลิตร
  • น้ำเปล่า 420 มิลลิลิตร
  • น้ำตาลทราย 95 กรัม
  • เนื้อมะพร้าวอ่อน 65 กรัม หรือ 1 ลูก
  • ครีมเมอร์ 135 กรัม
ส่วนผสมน้ำราดเต้าฮวยมะพร้าวอ่อน
  • น้ำมะพร้าวอ่อน 330 มิลลิลิตร
  • น้ำเปล่า 420 มิลลิลิตร
  • น้ำตาลทราย 95 กรัม
  • เนื้อมะพร้าวอ่อน 65 กรัม หรือ 1 ลูก
  • ครีมเมอร์ 135 กรัม
วิธีทำเต้าฮวยมะพร้าวอ่อน
  • ใส่น้ำเปล่า น้ำมะพร้าว และเนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปในหม้อ ตั้งไฟต้มจนเดือด หลังจากนั้นให้เติมผงวุ้นและน้ำตาลทราย คนเรื่อย ๆ จะส่วนผสมเข้ากันดี แล้วตั้งให้เดือดอีกรอบ ปิดเตา และพักไว้
  • เมื่ออุณหภูมิร้อนลงเล็กน้อย ให้ใส่ครีมเมอร์ลงไป แล้วคนให้เข้ากัน
  • ตักเต้าฮวยที่ทำเสร็จแล้วใส่ภาชนะที่ชอบครึ่งหนึ่ง แล้วนำไปแช่ตู้เย็นจนเซ็ตตัวดี
  • ทำน้ำราดเต้าฮวย โดยการนำน้ำมะพร้าว น้ำเปล่า และเนื้อมะพร้าวไปต้มให้เดือด หลังจากนั้นให้เติมน้ำตาลลงไป คนจนละลาย ปิดไฟ และพักไว้
  • ใส่ครีมเมอร์ลงไป คนให้เข้ากัน และพักไว้จนเย็นสนิท
  • นำเต้าฮวยที่เซ็ตตัวแล้วออกมา ราดด้วยน้ำราด แล้วเสิร์ฟได้เลย

3.สละลอยแก้ว

“ลอยแก้ว” เป็นขนมไทยสุดคลาสสิคที่มีมาตั้งแต่บริเวณ ด้วยน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำลอยดอกมะลิหอม ๆ รับประทานคู่กับผลไม้รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ไม่ว่าใครที่ได้ชิมก็ล้วนชื่นชอบ โดยเมนูลอยแก้วที่เราจะมาแนะนำก็คือ “สละลอยแก้ว” ส่วนผสมของสละลอยแก้ว
  • ดอกมะลิ 15 – 20 ดอก
  • น้ำเปล่า 5 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 5 ถ้วย (สามารถปรับระดับความหวานตามชอบได้)
  • เกลือสมุทร 1 ช้อนชา (สำหรับใส่น้ำเชื่อม)
  • สละ 1 กิโลกรัม
  • เกลือสมุทรสำหรับใช้ล้างสละ
  • น้ำแข็งป่นทุบ
ขั้นตอนการทำสละลอยแก้ว
  • นำดอกมะลิทั้งกลีบเลี้ยงไปล้างให้สะอาดอย่างเบามือ ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปใส่ลงในหม้อที่บรรจุน้ำเปล่า ปิดฝาหม้อ ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง 1 คืน (ไม่ควรเด็ดกลีบเลี้ยงทิ้ง เพราะจะทำให้ยางออกมาในน้ำได้)
  • เมื่อตื่นเช้ามา ให้กรองเอาดอกมะลิด้วยผ้าขาวบางทันที ไม่ควรทิ้งไว้ เพราะอาจทำให้เหม็นเขียวได้
  • นำน้ำลอยดอกมะลิไปตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทรายและเกลือ คนจนละลายเข้ากันจนหมด พอน้ำเดือดอีกรอบให้เคี่ยวต่อประมาณ​ 5 นาที ปิดไฟ และพักไว้จนเย็นสนิท
  • เตรียมสละ โดยการขูดหนามสละออก แล้วนำตะกร้ามาร่อนเอาเศษหนามออกให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้นนำไปล้างน้ำสะอาด แกะเปลือกออกให้หมด และคว้านเมล็ดสละออกให้เรียบร้อย
  • นำสละไปแช่ในน้ำผสมเกลือประมาณ 10 นาที เพื่อลดความฝาด
  • นำน้ำเชื่อมและสละใส่ภาชนะที่มีฝาปิด แล้วนำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง หรือ 1 คืน เพื่อให้น้ำเชื่อมซึมเข้าเนื้อสละ
  • ตักสละลอยแก้วใส่แก้ว โรยด้วยน้ำแข็งตามชอบ แล้วเสิร์ฟได้เลย

4.ลอดช่องสิงคโปร์ใบเตย

ลอดช่องสิงคโปร์ใบเตย เป็นเมนูเครื่องดื่มเย็น ๆ ที่ไม่ว่าใครได้ทานก็ต้องติดใจ ด้วยเนื้อลอดช่องหนุบหนับกับกะทิหวานมัน ใครที่ชอบเมนูนี้ สามารถลองนำสูตรลอดช่องนี้ไปทำตามกันดูได้ รับรองว่ารสชาติอร่อยถูกใจแน่นอน ส่วนผสมลอดช่องสิงคโปร์ใบเตย
  • ส่วนผสมของเนื้อลอดช่อง : แป้งมัน 250 กรัม น้ำใบเตยคั้น 3 ช้อนโต๊ะ และน้ำเปล่า 300 กรัม
  • ส่วนผสมของน้ำเชื่อม : น้ำตาลทราย 500 กรัม น้ำเปล่า 500 กรัม และ ใบเตย 4 – 5 ใบ
  • ส่วนผสมของน้ำกะทิ : น้ำกะทิ 500 กรัม เกลือ 2 ช้อนชา
  • เครื่องเคียงอื่น ๆ : ขนุน วุ้นมะพร้าว น้ำแข็งป่นทุบ
ขั้นตอนการทำลอดช่องสิงคโปร์
  • เริ่มจากทำตัวลอดช่องก่อน โดยการต้มน้ำเปล่าผสมกับน้ำใบเตยคั้นจนเดือด แล้วเทใส่แป้งทีละนิด ค่อย ๆ นวดให้เข้ากันจนเนื้อแป้งเนียนนุ่มเป็นก้อนสีเขียว
  • หลังจากนั้นนำก้อนแป้งสีเขียวไปหั่นเป็นชิ้น ๆ หรือเส้น ๆ โดยสามารถโรยแป้งมันไม่ให้ติดกันได้ เสร็จแล้วนำไปต้มจนลอดช่องสุก เหนียวนุ่ม ล้างด้วยน้ำเย็น 4 – 5 ครั้งจนคราบแป้งมันหมด แล้วนำไปพักให้สะเด็ดน้ำ
  • ทำน้ำเชื่อม โดยการต้มน้ำเปล่ากับน้ำตาลทราย มัดใบเตยลงไปต้มด้วยเพื่อเพิ่มความหอม เมื่อเข้ากันดีแล้ว ให้เคี่ยวต่อไปสัก 5 – 10 นาที แล้วพักให้เย็น และเมื่อน้ำเชื่อมเย็นแล้ว ให้เทใส่เนื้อลอดช่องที่เราทำไว้
  • ทำน้ำกะทิราด โดยการต้มกะทิกับเกลือด้วยไฟอ่อน ระมัดระวังไม่เห็นแตกมัน เมื่อกะทิร้อนจัดแล้วให้ปิดไฟ
  • เสิร์ฟลอดช่องสิงคโปร์ใบเตยแสนอร่อยโดยการตักเส้นลอดช่องใส่แก้ว เติมน้ำเชื่อมและกะทิเล็กน้อย ใส่เครื่องเคียงที่ชอบ และปิดท้ายด้วยน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็น แค่นี้ก็ดื่มได้เลย

5.ทับทิมกรอบ

อีกหนึ่งขนมหวานทานหายที่เป็นที่ชื่นชอบของทุกเพศทุกวัย ด้วยตัวเนื้อทับทิมกรอบสีแดงสวย กินคู่กับน้ำกะทิหวานมัน หลายคนอาจจะคิดว่าเมนูนี้ทำยาก นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะทับทิมกรอบเป็นหนึ่งในขนมไทยที่ทำตามได้ง่าย ๆ ถ้าไม่เชื่อก็ไปดูกันเลย ส่วนผสมของทับทิมกรอบ
  • แห้วหั่นเต๋า 500 กรัม
  • แป้งมัน
  • สีผสมอาหารสีแดง หากไม่มีสามารถใช้น้ำแดงผสมกับน้ำเปล่าได้
  • หัวกะทิ หรือน้ำกะทิพาสเจอไรส์ 500 มิลลิลิตร
  • เกลือ 2 ช้อน
  • น้ำตาลทรายตามระดับความหวานที่ชอบ
ขั้นตอนการทำทับทิมกรอบ
  • นำแห้วที่เราหั่นเต๋าไว้ไปแช่ในน้ำที่ผสมสีผสมอาหารไว้ ประมาณ 10 – 15 นาที เพื่อให้แห้วมีสีแดง
  • หลังจากนั้นให้นำล้างสัก 2 – 3 รอบ ให้สีไม่เข้มจนเกินไป แล้วนำไปคลุกแป้งมันให้ทั่ว
  • ตั้งน้ำเดือดจัด ใส่แห้วที่คลุกแป้งมันลงไป โดยจะต้องคนอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ติดกัน และเมื่อตัวแห้วลอยขึ้นมาแล้ว ให้ตักไปน็อคในน้ำเย็นจัดทันที
  • ทำน้ำกะทิราด โดยการต้มกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือเข้าด้วยกัน โดยจะต้องระมัดระวังไม่ให้กะทิแตกมัน เมื่อเคี่ยวจนเข้ากันดีแล้ว ให้พักไว้ให้เย็น
  • เสิร์ฟทับทิมกรอบแสนอร่อย โดยการตักเนื้อทับทิมใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำกะทิ และน้ำแข็งป่น หากใครชอบกินคู่กับขนุนก็สามารถใส่เพิ่มเข้าไปได้เช่นกัน

6.เฉาก๊วยนมสดคาราเมล

ปิดท้ายด้วยเมนูหวานเย็นชื่นใจที่ไม่ว่าใครก็ต้องชอบกับเฉาก๊วยนมสดคาราเมล นอกจากจะหวานเย็นสดชื่นแล้ว เนื้อเฉาก๊วยยังมีสรรพคุณที่ช่วยในการแก้ตัวร้อน แก้ร้อนในโดยเฉพาะ ใครที่เป็นร้อนในบ่อย ๆ จะต้องไม่พลาดเมนูนี้ ส่วนผสมของเฉาก๊วยนมสดคาราเมล
  • น้ำตาลทรายขาว 500 – 1,000 กรัม สำหรับทำคาราเมล หรือถ้าไม่อยากทำ สามารถซื้อคาราเมลสำเร็จรูปมาใช้แทนได้
  • นมสดยี่ห้อที่ชอบ
  • เฉาก๊วยหั่นเต๋า ยี่ห้อที่ชอบ
  • น้ำตาลอ้อย หรือน้ำตาลทรายแดงสำหรับโรยหน้า
  • น้ำแข็งป่นทุบ
วิธีทำเฉาก๊วยนมสดคาราเมล
  • เริ่มจากทำคาราเมลก่อน โดยการตั้งไฟอ่อน ใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละนิด รอให้บริเวณขอบ ๆ ละลายเป็นคาราเมล แล้วผสมน้ำตาลทรายส่วนทีละเหลือเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นให้เติมน้ำทรายลงไปเรื่อย ๆ จนหมด และจะต้องระมัดระวังไม่ให้ไหม้
  • เตรียมแก้วทรงสูง ใส่เนื้อเฉาก๊วยลงไป ตามด้วยคาราเมลที่เราทำไว้ คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วใส่น้ำแข็งให้เต็มแก้ว เทนมลงไป
  • ท็อปปิ้งด้วยเนื้อเฉาก๊วย คาราเมล และน้ำตาลอ้อยอีกที เป็นอันเสร็จ
เป็นยังไงกันบ้างกับ 6 อาหารคลายร้อนที่ Tesnogas คัดสรรมาฝากในวันนี้ มีเมนูอาหารหน้าร้อนไหนที่ถูกใจคุณบ้าง หากถูกใจเมนูไหนอย่าลืมลองไปทำตามกันดู ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรืออยู่คอนโด จะใช้เตาแก๊ส หรือเตาไฟฟ้า ก็สามารถทำตามได้ง่าย ๆ ไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก รับรองว่าหวานเย็นสดชื่นอร่อยถูกใจแน่นอน

หัวปรับแรงดันแก๊ส เลือกอย่างไรให้ใช้งานได้นาน

หัวปรับแรงดันแก๊ส เลือกอย่างไรให้ใช้งานได้นาน
เตาแก๊ส” เป็นหนึ่งในอุปกรณ์เครื่องครัวยอดนิยมของคนไทยและคนทั่วโลก ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเคยใช้เตาแก๊สในการประกอบอาหารกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น การผัด ตุ๋น ต้ม หรือนึ่ง เพราะเป็นเตาหุงต้มที่ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก สามารถใช้ได้กับทุกเครื่องครัว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเตาแก๊สจะถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยรู้จักองค์ประกอบของเตาแก๊ส หรือหลักการทำงานของเตาแก๊สดี เพื่อช่วยให้คุณใช้งานเตาแก๊สได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น Tesnogas จะพาคุณไปทำความรู้จักกับหนึ่งในอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดของเตาแก๊สอย่าง “หัวปรับแรงดันแก๊ส”

หัวปรับแรงดันแก๊ส คืออะไร?

หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “หัวปรับแก๊ส” คือ อุปกรณ์สำหรับปรับแรงดันแก๊สจากถังแก๊สไปที่เตาแก๊สอย่างเหมาะสม เพื่อทำให้เกิดไฟบริเวณหัวเตาแก๊สอย่างพอดี ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับเตาแก๊ส เพราะถ้าหากหัวปรับมีแรงดันที่มากเกินไปก็อาจทำให้ถังแก๊สระเบิดได้ แต่ถ้ามีแรงดันน้อยเกินไปก็จะทำให้จุดไฟบริเวณเตาแก๊สไม่ติด

หัวปรับแรงดันแก๊ส มีกี่ประเภท?

หลายคนอาจไม่รู้ว่า หัวปรับแก๊สนั้นมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะเหมาะกับประเภทเตาแก๊สที่แตกต่างกันออกไป ถ้าเลือกใช้ผิดประเภทก็อาจทำให้เตาแก๊สชำรุด หรือเกิดการระเบิดได้ โดยหัวปรับแก๊สจะแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

1.หัวปรับแก๊สแรงดันต่ำ

เป็นหัวปรับแก๊สที่ไม่มีวาล์วสำหรับปรับความดัน โดยส่วนของตัวปรับความดันจะมีจุกดำปิดไว้อยู่ ไม่ควรแกะออกมาเองโดยเด็ดขาด หัวปรับแก๊สแรงดันต่ำเหมาะสำหรับใช้งานกับเตาแก๊สที่ไม่ต้องการไฟแรงมาก เช่น เตาอัตโนมัติ เตาครัวเรือนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เตากล่อง, เตาฝัง, เตาอบ หรือหม้อหุงข้าวแก๊ส เป็นต้น

2.หัวปรับแก๊สแรงดันสูง

ส่วนบนของหัวปรับแก๊สแรงดันสูงจะมีวาล์วสำหรับปรับความดันเพื่อเพิ่มความแรงของไฟอยู่ โดยถ้าหมุนขึ้นจะลดแรงดันแก๊สลง ทำให้ไฟเบาลง แต่ถ้าหมุนวาล์วลงจะเป็นการเพิ่มแรงดันแก๊สและทำให้ไฟแรงขึ้น หัวปรับแก๊สแรงดันสูงเหมาะสำหรับใช้งานกับเตาแก๊สที่ต้องการไฟแรงสูง เตาแก๊สหัวฟู่ หรือเตาเร่ง ซึ่งนิยมใช้ในการประกอบอาหารในร้านอาหาร โรงแรม หรือโรงงานอุตสาหกรรม

3.หัวปรับแก๊สที่ออกแบบใช้งานกับถังบางประเภทโดยเฉพาะ

จะมีหัวปรับแก๊สบางยี่ห้อที่ออกแบบมาให้งานกับถังแก๊สประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งไม่สามารถนำไปใช้งานกับถังแก๊สประเภทอื่นได้ เช่น หัวปรับแก๊สแบบกดที่ออกแบบมาให้ใช้งานกับถังเวิลด์แก๊ส ขนาด 13.5 กิโลกรัม หรือหัวปรับจัมโบ้ที่ออกแบบมาให้ใช้งานกับถังเอสโซ่ ขนาด 11.25 กิโลกรัม เป็นต้น

ก่อนซื้อหัวปรับแรงดันแก๊สจะต้องพิจารณาสิ่งใดบ้าง?

เพื่อให้การใช้งานเตาแก๊สมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และลดโอกาสเตาแก๊สชำรุดจากการใช้หัวปรับแก๊สผิดประเภท ควรพิจารณา 4 ข้อต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจซื้อ

1.ประเภทของถังแก๊ส

ตรวจสอบดูก่อนว่าถังแก๊สที่ใช้งานอยู่นั้น มีข้อจำกัดเรื่องการใช้หัวปรับแรงดันหรือเปล่า เพราะถังแก๊สบางประเภทจะต้องใช้งานกับหัวปรับแก๊สที่ออกแบบมาให้ใช้งานคู่กันโดยเฉพาะ ตัวอย่างถังแก๊ส เช่น
  • ถังแก๊ส 4 กิโลกรัม แบบวาล์วล่าง : นิยมเรียกกันว่า “ถังปิคนิค” ถังแก๊สประเภทนี้จะไม่จำเป็นต้องใช้หัวปรับแรงดันก็ได้
  • ถังแก๊ส 4 กิโลกรัม แบบวาล์วบน : จะมีวาล์วเหมือนกับถังแก๊สขนาดใหญ่ สามารถใช้หัวปรับได้ทุกประเภท ขึ้นอยู่กับชนิดของเตาแก๊ส
  • ถังแก๊สเอสโซ่ ขนาด 11.5 กิโลกรัม : จะต้องใช้หัวปรับแก๊สจัมโบ้
  • ถังเวิลด์แก๊สขนาด 13.5 กิโลกรัม แบบวาล์วหัวกด : จะต้องใช้หัวปรับหัวกดโดยเฉพาะ
  • ถังเวิลด์แก๊สขนาด 13.5 กิโลกรัม แบบวาล์วหัวหมุน : สามารถใช้หัวปรับได้ทุกประเภท ขึ้นอยู่กับชนิดของเตาแก๊ส
  • ถังแก๊สกะปุ๊กลุก 7 กิโลกรัม : สามารถใช้หัวปรับได้ทุกประเภท ขึ้นอยู่กับชนิดของเตาแก๊ส

2.ประเภทของเตาแก๊ส

หากถังแก๊สไม่ได้กำหนดให้ใช้หัวปรับชนิดใดโดยเฉพาะ การเลือกใช้หัวปรับแก๊สส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับประเภทของเตาแก๊สที่ใช้งานแทน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ เตาแก๊สแรงดันต่ำที่จะต้องใช้หัวปรับแรงดันต่ำ และเตาแก๊สแรงดันสูงที่จะต้องใช้หัวปรับแรงดันสูง

3.ฟังก์ชันเสริม

นอกจากเรื่องของแรงดันแล้ว หัวปรับแต่ละยี่ห้อจะมีฟังก์ชันเสริมอื่น ๆ เข้ามาด้วย เช่น ตัวตัดแก๊สอัตโนมัติหากเกิดแก๊สรั่ว มาตรวัดความดันแก๊สสำหรับตรวจสอบความผิดปกติของระบบแก๊ส หรือนาฬิกาตั้งเวลาสำหรับตัดแก๊ส

4.การรับรองมาตรฐาน

สิ่งสุดท้ายที่จะต้องให้ความสำคัญในการเลือกใช้หัวปรับแรงดัน คือ คุณภาพของวัสดุที่ใช้ในการผลิต โดยหัวปรับที่ดีจะต้องมีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถรีดแก๊สได้หมดถัง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)

วิธีใช้หัวปรับแรงดันแก๊สที่ถูกต้อง

หัวปรับแก๊สจะถูกปรับให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมกับการใช้งานจากโรงงานของผู้ผลิตอยู่แล้ว หลังจากที่ซื้อมา จึงไม่ควรที่จะถอดชิ้นส่วน หรือแก้ไขดัดแปลงโดยเด็ดขาด และระมัดระวังอย่าให้หัวปรับกระแทกกับของแข็ง เพราะอาจทำให้เกิดการชำรุด ร้าว หรือแก๊สรั่วซึมได้ สำหรับวิธีติดตั้งหัวปรับแก๊ส มีดังนี้
  • ติดหัวปรับเข้ากับถังแก๊ส โดยจับให้ท่อแก๊สเข้าตรงพอดีกับเกลียวของวาล์วถัง เสียบเข้าหากัน แล้วใช้มือหมุนลูกบิดทวดเข็มนาฬิกาจนแน่น
  • ติดสายนำแก๊สเข้ากับหัวปรับ โดยใช้กิ๊บรัดเข้าที่บริเวณทางออกของตัวหัวปรับให้แน่น
  • ประกอบปลายสายอีกข้างเข้ากับตัวเตาแก๊สให้เรียบร้อย
หลังจากที่ทดลองใช้งานเตาแก๊สแล้ว หากพบแก๊สรั่ว ควรปิดวาล์วถังแก๊สทันที เปิดประตูห้องให้อากาศถ่าย หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสิ่งที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟ แล้วแจ้งให้ช่างเตาแก๊สที่ชำนาญการมาตรวจสอบแก้ไขทันที

หัวปรับแรงดันแก๊ส ราคาเท่าไร?

หัวปรับแก๊ส มีราคาประมาณ​ 270 – 1,500 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทของหัวปรับ และฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ โดยหัวปรับแรงดันแบบเซฟตี้ที่มีตัวตัดแก๊สอัตโนมัติ หรือมีนาฬิกาตั้งเวลา จะมีราคาแพงกว่าหัวปรับทั่วไป จะเห็นได้ว่า หัวปรับแรงดันแก๊สเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากในการใช้งานเตาแก๊ส เพราะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยควบคุมความแรงของไฟ หรือเชื้อเพลิงของเตาแก๊สให้พอดีกับการใช้งาน ถ้าหากเลือกใช้งานหัวปรับผิดประเภท เช่น เลือกใช้หัวปรับแก๊สแรงดันสูงกับเตาแก๊สแรงดันต่ำ ก็อาจทำให้ไฟแรงเกินไปจนเตาแก๊สชำรุดเสียได้นั่นเอง

วิธีต้มเส้นสปาเก็ตตี้ให้น่าทานแบบมืออาชีพ

วิธีต้มเส้นสปาเก็ตตี้ให้น่าทานแบบมืออาชีพ
เส้นสปาเก็ตตี้ (Spaghetti) หนึ่งในชนิดของเส้นพาสตา (Pasta) ที่นิยมนำมาประกอบอาหารมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ผัดสปาเก็ตตี้ขี้เมา ผัดสปาเก็ตตี้ซอสครีมกุ้ง ผัดสปาเก็ตตี้คาร์โบนารา หรือผัดสปาเก็ตตี้หมึกดำ เป็นต้น เส้นสปาเก็ตตี้จะมีลักษณะเป็นเส้นกลมยาว มีทั้งแบบเส้นสด และแบบสำเร็จรูป ซึ่งการจะทำเมนูอาหารจากสปาเก็ตตี้ให้อร่อยนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการต้มเส้นสปาเก็ตตี้ให้เหนียวนุ่ม ไม่แข็ง หรือเละจนเกินไป สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าเส้นสปาเก็ตตี้ต้มกี่นาทีถึงจะอร่อยที่สุด Tescnogas มีวิธีต้มเส้นสปาเก็ตตี้ที่ถูกต้องมาฝาก รับรองว่าจะช่วยให้คุณทำเมนูเส้นสปาเก็ตตี้ได้ง่าย สนุก และอร่อยขึ้นอย่างแน่นอน

วิธีต้มเส้นสปาเก็ตตี้ที่ถูกต้อง

การที่จะต้มเส้นสปาเก็ตตี้ รวมถึงต้มเส้นพาสต้าชนิดอื่น ๆ ให้อร่อยและเหนียวนุ่มตามสไตล์อิตาเลี่ยนแท้ ๆ ได้นั้น จะต้องต้มเส้นให้มีระดับความสุกที่อัลเดนเต้ (Al Dente) เป็นระดับที่ชาวอิตาเลี่ยนรับประทานกัน โดยเส้นลักษณะอัลเดนเต้นั้น จะมีความเหนียวนุ่มด้านนอก เมื่อกัดเข้าไปแล้วจะยังคงมีความกรึบอยู่ ซึ่งคุณเองก็สามารถทำได้ไม่ยาก แค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

ขั้นตอนการต้มเส้นสปาเก็ตตี้ให้ได้อันเดนเต้

การต้มสปาเก็ตตี้ให้มีความสุกที่ระดับอันเดนเต้ มีขั้นตอนดังนี้
  • เลือกใช้หม้อต้มเส้นที่มีขนาดพอดีกับเส้นสปาเก็ตตี้ที่จะต้ม ไม่เล็ก หรือใหญ่จนเกินไป
  • ใส่น้ำลงไปในหม้อ โดยมีอัตราส่วนระหว่าง เส้น 100 กรัมต่อน้ำ 1 – 2 ลิตร
  • เปิดเตาแก๊ส หรือ เตาไฟฟ้า รอให้น้ำเดือดพล่าน หรือร้อนจัด
  • ใส่เกลือประมาณ 1 ½ ช้อนชา ต่อน้ำ 1 ลิตร เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับเส้นสปาเก็ตตี้
  • ใส่เส้นสปาเก็ตตี้ลงไป ใช้ที่คีบกดเส้นส่วนที่อยู่ในน้ำที่เริ่มนุ่มให้ดึงส่วนที่อยู่เหนือน้ำลงไป แล้วคนเป็นระยะ ๆ
  • เมื่อเส้นเริ่มนุ่มขึ้น ให้ลองชิมเป็นระยะ ๆ หากเส้นมีความเหนียวนุ่มด้านนอก และกัดลงไปให้ความรู้สึกกรึบเบา ๆ ไม่แข็งเป็นไตเหมือนเวลาเส้นสปาเก็ตตี้ดิบ ให้กรองใส่กระชอน
  • สามารถนำเส้นสปาเก็ตตี้ที่ได้ไปประกอบอาหารได้ทันที ไม่ควรทิ้งไว้นานจนเกินไป เพราะความร้อนที่เหลืออยู่อาจทำให้เส้นสุกเกินจนไม่ได้ระดับอันเดนเต้
  • ในกรณีที่ต้องการพักเส้นไว้ 2 – 3 นาที สามารถพรมด้วยน้ำมะกอกบาง ๆ เพื่อไม่ให้เส้นติดกันได้ แต่ไม่ควรล้างด้วยน้ำเย็นเด็ดขาด เพราะจะทำให้ตัวแป้งที่เคลือบอยู่บนเส้นหลุดออก และทำให้ซอสไม่ซึมเข้าเส้น

เส้นสปาเก็ตตี้ต้มกี่นาทีถึงจะดีที่สุด?

เส้นสปาเก็ตตี้ควรต้มกี่นาทีถึงจะอร่อยที่สุดนั้น ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบรับประทานเส้นสปาเก็ตตี้ระดับความสุกใด หากชอบรับประทานแบบอันเดนเต้ ระยะเวลาการต้มจะอยู่ที่ประมาณ 7 – 8 นาที แต่ถ้าชอบแบบสุก ๆ นิ่ม ๆ ระยะเวลาการต้มจะอยู่ที่ประมาณ 10 นาที อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจว่าจะได้รับประทานเส้นสปาเก็ตตี้ที่ถูกใจมากที่สุด เราแนะนำให้ระหว่างที่ต้มเส้นสปาเก็ตตี้ให้คอยชิมเป็นระยะ ๆ หากได้ระดับความสุกตามที่ตนเองชอบแล้วค่อยตักออกมาพักไว้ นั่นถึงจะเป็นวิธีต้มเส้นสปาเก็ตตี้ที่อร่อยที่สุดต่างหาก

วิธีต้มเส้นพาสต้าประเภทอื่น ๆ

จริง ๆ แล้ว วิธีต้มเส้นพาสต้าประเภทอื่น ๆ มีวิธีการต้มที่คล้ายกับเส้นสปาเก็ตตี้มาก เพียงแต่ว่าจะมีระยะเวลาความสุกที่แตกต่างกัน และเส้นพาสต้าที่มีขนาดสั้น เมื่อใส่ลงไปน้ำร้อนจัดแล้วจะต้องคนทันทีเท่านั่นเอง สำหรับใครที่นึกภาพไม่ออกว่า นอกจากเส้นสปาเก็ตตี้แล้ว ยังมีเส้นพาสต้าประเภทใดอีกบ้าง รวมถึงแต่ละประเภทต้องใช้ระยะเวลาการต้มเท่าไร เราได้รวบรวมข้อมูลมาไว้ที่นี่แล้ว

สปาเก็ตตินี (Spaghettini)

เป็นพาสต้าเส้นยาวที่มีขนาดใหญ่กว่าเส้นแคปเปลลินี แต่มีขนาดเล็กกว่าเส้นสปาเก็ตตี้ ใช้ระยะเวลาการต้มแบบอัลเดนเต้ ประมาณ 4 นาที และใช้ระยะเวลาการต้มแบบสุก ประมาณ 6 นาที

มักกะโรนี (Macaroni)

เป็นพาสต้าเส้นสั้นที่คนไทยรู้จักกันดี มีลักษณะเป็นท่อน ๆ เส้นกลม มีรูกลวงตรงกลาง ใช้ระยะเวลาการต้มแบบอัลเดนเต้ ประมาณ 7 นาที และใช้ระยะเวลาการต้มแบบสุก ประมาณ 9 นาที

ลาซานญ่า ลาซานญ่า (Lasagna)

เป็นพาสต้าเส้นยาวที่ถือได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุด โดยจะมีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หากต้องการต้มให้มีระดับความสุกแบบอัลเดนเต้ จะใช้เวลาประมาณ​ 8 นาที แต่ถ้าต้องการต้มให้สุกเลย จะใช้เวลาประมาณ 10 นาที

เพนเน (Penne)

เป็นพาสต้าเส้นสั้นที่มีความกลวงตรงกลาง ลักษณะเหมือนท่อ ตรงปลายตัดเฉียง และผิวด้านนอกมีเนื้อสัมผัสเป็นริ้ว ๆ เล็กน้อย จะใช้ระยะเวลาการต้มแบบอันเดนเต้ ประมาณ 8 นาที และต้มแบบสุก ประมาณ 10 นาที

เฟตตูชิเน (Fettucine)

เป็นพาสต้าเส้นยาวที่มีลักษณะเป็นเส้นยาวแบนคล้ายกับริบบิ้น โดยจะมีความแบนมากว่าเส้นลิงกวีเน สำหรับใครที่ชื่นชอบแบบอันเดนเต้ จะใช้ระยะเวลาการต้มประมาณ 6 นาที ส่วนคนที่ชอบแบบสุกพอดี จะใช้ระยะเวลาการต้มประมาณ 8 นาที

ฟูซิลี่ ​​(Fusilli)

เป็นพาสต้าเส้นสั้น มีลักษณะเป็นท่อน ๆ และเป็นเส้นเกลียว มีความหนามากกว่าเส้นพาสต้าชนิดอื่น ๆ สำหรับระยะเวลาการต้มแบบอัลเดนเต้ จะใช้เวลาประมาณ 6 นาที และการต้มให้สุกพอดี จะใช้เวลาประมาณ 8 นาที

บูคาตินี (Bucatini)

เป็นพาสต้าเส้นยาวที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีรูกลวงตรงกลาง ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้แทนเส้นมักกะโรนีในกรณีที่หาไม่ได้ โดยการตัดเป็นท่อน ๆ สำหรับการต้มแบบอัลเดนเต้นั้น จะใช้เวลาประมาณ​ 7 นาที ส่วนการต้มแบบสุกพอดี จะใช้เวลาประมาณ 9 นาที

แคปเปลลินี (Cappellini)

เป็นพาสต้าเส้นยาวที่มีลักษณะแบนยาวและเล็กที่สุด จึงทำให้ใช้ระยะเวลาการต้มน้อยกว่าเส้นพาสต้าชนิดอื่น ๆ โดยการต้มแบบอัลเดนเต้ ใช้เวลาต้มประมาณ 2 นาที ส่วนการต้มแบบสุกพอดี ใช้เวลาต้มประมาณ 4 นาที

ลิงกวีเน (Linguine)

เป็นพาสต้าเส้นยาวที่มีลักษณะคล้ายเส้นสปาเก็ตตี้ แต่เส้นจะมีลักษณะแบนเล็กน้อย ไม่กลม โดยจะใช้ระยะเวลาการต้มแบบอัลเดนเต้ ประมาณ​ 7 นาที และใช้ระยะเวลาการต้มเแบบสุก ประมาณ 9 นาที

ฟาร์ฟาลเล (Farfalle)

เป็นพาสต้าเส้นสั้น มีลักษณะเป็นแผ่นแล้วพับตรงกลาง รูปร่างคล้ายโบว์ หรือผีเสื้อ ถือเป็นเส้นพาสต้าที่มีหน้าตาน่ารักมาก ๆ โดยจะใช้ระยะเวลาการต้มแบบอัลเดนเต้ ประมาณ​ 8 นาที และใช้ระยะเวลาการต้มเแบบสุก ประมาณ 10 นาที

น็อคคี (Gnocchi)

เป็นพาสต้าเส้นสั้นที่มีลักษณะเหมือนเปลือกโค้งคล้ายกับเปลือกหอย ด้านนอกจะมีผิวสัมผัสเป็นริ้วใหญ่ ๆ จะใช้ระยะเวลาการต้มแบบอัลเดนเต้ ประมาณ​ 8 นาที และใช้ระยะเวลาการต้มเแบบสุก ประมาณ 10 นาที เหมือนกับเส้นฟาร์ฟาลเล

สรุปวิธีการต้มเส้นสปาเก็ตตี้ให้อร่อยถูกใจทุกคน

จะเห็นได้ว่า การต้มเส้นสปาเก็ตตี้ รวมถึงเส้นพาสต้าอื่น ๆ จะมีวิธีการต้มที่คล้าย ๆ กัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ระยะเวลาการต้มและระดับความสุกที่ต้องการ ซึ่งแบ่งเป็น 2 แบบหลัก ๆ คือ ต้มแบบอัลเดนเต้สไตล์อิตาเลี่ยนแท้ ๆ และต้มแบบสุกพอดี สำหรับใครที่กำลังจะทำเมนูเส้นสปาเก็ตตี้สามารถนำวิธีต้มเส้นสปาเก็ตตี้ที่เราแนะนำไปประยุกต์ใช้ได้ รับรองว่าผลลัพธ์ออกมาถูกใจทุกคนแน่นอน

Follow Us

TEL. 02-274-3434
EMAIL : webmaster@sbo-brand.com

The Signature Brand Co., Ltd. 
771 Pracha Uthit Road, Samsen Nok,Huai Khwang District, Bangkok 10310