6 วิธีอบขนมปังให้เนื้อนุ่ม อร่อย ไม่แห้ง

6 วิธีอบขนมปัง
เคยเป็นไหม ทำขนมปังตามสูตรเป๊ะ ๆ แต่เนื้อขนมปังกลับไม่นุ่มฟู แถมยังแห้งแข็งกระด้างจนไม่น่าทาน เพราะแท้จริงแล้วการทำตามสูตรอย่างเดียวก็ไม่ทำให้เนื้อขนมปังนุ่มเสมอไป แต่ต้องใส่ใจในขั้นตอนอื่น ๆ ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป บทความนี้จึงได้รวบรวมวิธีอบขนมปังแบบมืออาชีพมาฝาก รับรองว่าทำตามแล้วเนื้อนุ่มเหมือนร้านเบเกอรี่มาเอง

รวมวิธีอบขนมปังที่สวยและนุ่มฟูแบบมืออาชีพ

1. เลือกแป้งที่ใช้และลงตัวที่สุดวิธีเลือกแป้งขนมปัง

เริ่มต้นด้วยวัตถุดิบหลักของการทำขนมปังนั่นก็คือ “แป้ง” ซึ่งก็มีแป้งหลายชนิดสำหรับทำเบเกอรีหลายประเภท แต่ไม่ใช่ทุกชนิดจะเหมาะกับการทำขนมปัง! ดังนั้นมาดูกันดีกว่าว่าแป้งแบบไหนเหมาะกับการใช้อบขนมปังมากที่สุด 
  • แป้งโฮลวีต เหมาะกับการทำขนมปังที่มีแผ่นหนา เนื้อที่ได้จะไม่นุ่มฟู เพราะตัวแป้งมีโมเลกุลหนัก
  • แป้งสาลีสำหรับทำขนมปัง (Bread Flour) แป้งเนื้อหยาบที่มีโปรตีนหรือกลูเต็นสูงถึง 13.5% – 14% ซึ่งช่วยให้ขนมปังยืดหยุ่นและเหนียวนุ่ม  
สำหรับใครที่อยากได้ขนมปังที่เนื้อเหนียวนุ่ม แนะนำให้ใช้แป้งสาลีสำหรับทำขนมปัง ไม่แนะนำให้ใช้แป้งอเนกประสงค์หรือแป้งเค้กทดแทน เพราะมีกลูเต็นน้อย ทำให้เนื้อขนมปังไม่ขึ้นฟู หรือขึ้นฟูน้อย โดยสัดส่วนการใช้แป้งต่อน้ำต้องอยู่ที่ แป้ง 60 ต่อน้ำ 40 จะช่วยให้แป้งนุ่ม และต้องใช้อาวุธสำคัญเสริมด้วย คือ ยีสต์ หรือแป้งเชื้อ ไม่สามารถใช้ผงฟู หรือ เบคกิ้งโซดาได้

2. นวดแป้งแบบพอดี ๆวิธีนวดแป้งขนมปัง

การนวดแป้งก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ขนมปังเนื้อนุ่ม โดยจะต้องนวดแป้งแบบพอดี ๆ จับแล้วรู้สึกเนียนนุ่ม ขึงได้เป็นฟิล์มบาง ๆ โดยที่แป้งไม่ขาดออกจากกัน หากนวดแป้งน้อยไปยีสต์จะกระจายไม่ทั่ว แต่หากนวดหนักไปจะทำให้แป้งแข็งกระด้างได้

3. วอร์มเตาอบก่อนใช้งานวอร์มเตาอบขนมปัง

การวอร์มเตาอบ จะทำให้เราได้อุณหภูมิที่คงที่ก่อนอบ ช่วยให้ขนมสุกตามเวลา และมีรูปทรงที่สวยงาม แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากไม่วอร์มเตาอบ ? หากลืมวอร์มเตาอบจะทำให้ผิวของขนมปังไม่แห้งสนิท ฟูไม่เต็มที่ สีของขนมปังไม่สม่ำเสมอ และเมื่ออบสุกเนื้อขนมปังจะยุบตัวลง

4. เลือกอุณหภูมิที่เหมาะกับขนมปังแต่ละประเภทอุณหภูมิที่ใช้อบขนมปัง

นอกจากการคัดสรรวัตถุดิบมาอย่างดีแล้ว อุณหภูมิก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน เพราะยีสต์ในขนมปังกับอุณหภูมิจะทำงานเสริมซึ่งกันและกัน โดยยีสต์จะชอบอุณหภูมิที่ร้อนชื้น และทำงานได้ดีในอุณหภูมิที่มันชื่นชอบ ดังนั้นหากพักแป้งในช่วงที่มีอากาศร้อน จะทำให้แป้งขึ้นฟูได้เร็ว ภายในห้องที่ทำขนมปังจึงควรมีอุณหภูมิประมาณ 30-40 องศาเซลเซียส หรือนำแป้งไปพักใกล้เตาที่มีความอบอุ่น จะช่วยให้ยีสต์ทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้อุณหภูมิในการอบก็สำคัญ โดยขนมปังใส่ถาดควรอบที่อุณหภูมิ 200-210 องศาเซลเซียส ไม่เกิน 15 นาที ส่วนขนมปังใส่พิมพ์ควรอบที่อุณหภูมิ 180-190 องศาเซลเซียส 20-30 นาที

5. ใช้ไฟบนและไฟล่างในการอบ ไฟบนและไฟล่างในการอบขนมปัง

การใช้ไฟบนและไฟล่างในการอบก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ขนมสุกเท่ากันทั่วทั้งชิ้น โดยวิธีอบขนมปังแตกต่างกันก็ใช้ไฟบนไฟล่างต่างกัน หากขนมปังที่เรียงใส่ถาดอบ ให้ใช้ไฟบน-ล่าง แต่หากขนมปังอยู่ในพิมพ์ให้ใช้ไฟล่างอย่างเดียว ดังนั้นจึงควรเลือกเตาอบที่มีระบบไฟหลากหลายในการอบขนมปัง

6. เลือกแม่พิมพ์ที่เหมาะสม

Tip เคล็ดไม่ลับ ถ้าอยากให้ขนมปังออกมาสวยรูปทรงน่ากิน สามารถเลือกใช้พิมพ์สำหรับอบขนมได้ ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ แต่พิมพ์ที่เหมาะสมสำหรับอบขนมปังที่สุด คือ พิมพ์โลฟ (Loaf) โดยก่อนอบควรทาไขมันรอบพิมพ์ เพื่อให้ขนมปังหลุดออกจากพิมพ์ง่าย ไม่ติดพิมพ์ การที่จะได้ขนมปังเนื้อนุ่มฟูสักหนึ่งก้อน ต้องใส่ใจกับรายละเอียดทุกขั้นตอน เพราะทุกขั้นตอนล้วนส่งผลต่อความนุ่มและยืดหยุ่นของเนื้อขนมปังทั้งสิ้น การเลือกเตาอบก็เช่นกัน ควรเลือกซื้อเตาอบที่มีคุณภาพ มีระบบควบคุมไฟที่หลากหลาย ควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำ เหมาะสำหรับการอบขนมปัง ซึ่งที่ Tecnogas ของเราก็มีจำหน่ายเตาอบหลายรุ่น ทั้งเตาอบตั้งโต๊ะ และเตาอบแบบฝัง เพื่อให้คุณมีอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ พร้อมผันตัวเป็นเชฟมือใหม่

ความแตกต่างระหว่างเตาแก๊สอินฟาเรดกับเตาแก๊สธรรมดา

ความแตกต่างระหว่างเตาแก๊สอินฟาเรดกับเตาแก๊สธรรมดา
เตาแก๊ส จัดเป็นอุปกรณ์ที่อยู่คู่ครัวของทุกบ้านมาอย่างยาวนาน เพราะเป็นอุปกรณ์หลักในการประกอบอาหารหลากหลายประเภท ปัจจุบันในท้องตลาดก็มีเตาแก๊สจำหน่ายหลายรูปแบบ ซึ่งก็ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยไม่น้อยว่าจะเลือกเตาแก๊สแบบไหนดี เพราะแต่ละแบบต่างก็เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน วันนี้เราจะมาบอกเล่าข้อดีข้อเสียของเตาแก๊สอินฟาเรดกับเตาแก๊สธรรมดา เพื่อให้คุณตัดสินใจง่ายขึ้นว่าจะซื้อแบบไหนดี

ลักษณะการใช้งานของเตาแก๊สธรรมดาลักษณะการใช้งานของเตาแก๊สธรรมดา

เตาแก๊สธรรมดา เป็นเตาแก๊สแบบดั้งเดิมที่พบเห็นได้ทั่วไปตามบ้านหรือร้านอาหาร หัวเตาแก๊สจะทำจากเหล็กหรือทองเหลือง ทำให้นำความร้อนได้ดีและทนความร้อนได้สูง โดยระบบการทำงานจะเป็นแบบพ่นแก๊สและเผาไหม้โดยตรง ทำให้เมื่อใช้งานจะมีเปลวไฟพุ่งขึ้นสูงมาจากหัวเตาแก๊ส เหมาะสำหรับใช้ทำอาหารที่ต้องการใช้ไฟแรงในระยะเวลาอันรวดเร็ว เช่น การผัด การทอด

ข้อดีของเตาแก๊สธรรมดา

  • ปรับความแรงของไฟได้ตามต้องการ
  • ทำความร้อนได้สูงอย่างรวดเร็ว 
  • เปลวไฟสูง ไม่มีการกักแก๊สเหมือนเตาแก๊สอินฟาเรด
  • หัวเตามีอายุการใช้งานนาน

ข้อเสียของเตาแก๊สธรรมดา

  • ใช้ปริมาณแก๊สมาก ทำให้มีค่าใช้จ่ายเรื่องแก๊สสูง
  • อาจมีการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดเขม่าสีดำจับที่ก้นภาชนะดำได้
  • มีโอกาสที่รูหัวเตาตัน เมื่อใช้ไปนาน ๆ ส่งผลให้เกิดเปลวไฟที่ไม่สม่ำเสมอ

ลักษณะการใช้งานของเตาแก๊สอินฟาเรดลักษณะการใช้งานของเตาแก๊สอินฟาเรด

เตาแก๊สอินฟาเรด หัวเตามีลักษณะเป็นรูพรุน ผลิตจากเซรามิกที่มีคุณสมบัติทนความร้อนสูง การทำงานของเตาแก๊สอินฟาเรดเป็นแบบซึมแก๊ส โดยจะกักเก็บเตาแก๊สในหัวเตาก่อน แล้วค่อย ๆ ปล่อยออกมาตามรูพรุนเมื่อใช้งาน เปลวไฟจึงต่ำแตกต่างจากเตาแก๊สธรรมดา แต่เปลวไฟจะสม่ำเสมอและให้ความร้อนสูง เหมาะสำหรับทำอาหารที่ต้องใช้เวลา เช่น การนึ่ง ต้ม ตุ๋น หรือย่างอาหาร

ข้อดีของเตาแก๊สอินฟาเรด

  • ประหยัดแก๊สกว่าเตาแก๊สธรรมดา เพราะเป็นการทำงานแบบซึมแก๊ส
  • เปลวไฟต่ำ หมดปัญหาเรื่องก้นภาชนะดำ
  • ให้ความร้อนสูง

ข้อเสียของเตาแก๊สอินฟาเรด

  • อายุการใช้งานสั้น กรณีที่ใช้งานเป็นประจำจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 2-3 ปี
  • การปรับความร้อนได้ไม่หลากหลายเท่าเตาแก๊สธรรมดา

เตาแก๊สอินฟาเรด กับ เตาแก๊สธรรมดา เลือกอย่างไรให้เหมาะกับคุณ

เตาแก๊สอินฟาเรดและเตาแก๊สธรรมดาต่างก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป โดยเตาแก๊สธรรมดาจะเหมาะกับห้องครัวที่มีพื้นที่กว้างขวาง มีช่องระบายอากาศได้ดี และใครที่ชอบทำอาหารหลากหลาย แนะนำให้เลือกใช้เตาแก๊สธรรมดา ส่วนเตาแก๊สอินฟาเรด จะเหมาะสำหรับห้องครัวที่มีพื้นที่จำกัด เช่น คอนโดมิเนียม หอพัก และเหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้ทำอาหารหลากหลาย มาถึงตรงนี้หลายคนคงมองเห็นความแตกต่างระหว่างเตาแก๊สอินฟาเรดกับเตาแก๊สธรรมดากันมากขึ้น สำหรับใครที่กำลังมองหาเตาแก๊สใหม่ ที่ Tecnogas มีเตาแก๊สอินฟาเรดกับเตาแก๊สธรรมดาให้คุณเลือกซื้อมากมาย เพื่อให้คุณเลือกซื้อให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณมากที่สุด สามารถมั่นใจได้ว่าคุณจะได้เตาแก๊สที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และปลอดภัยอย่างแน่นอน

4 วิธีจัดโต๊ะอาหารแบบสากล พร้อมรับแขกทุกโอกาส

4 วิธีจัดโต๊ะอาหารแบบสากล
การจัดโต๊ะอาหาร มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะทำให้โต๊ะอาหารเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังเป็นมารยาทที่เจ้าของบ้านควรปฏิบัติเพื่อต้อนรับแขกที่มาเยือน ช่วยสร้างบรรยากาศการรับประทานอาหารในทุก ๆ มื้อ โดยวิธีจัดโต๊ะอาหารแบบสากลที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ให้ความสำคัญกับการจัดเรียงอุปกรณ์และลำดับการเสิร์ฟอาหารที่ต้องสอดคล้องกัน โดยปกติเริ่มใช้อุปกรณ์จากด้านนอกเข้ามาด้านใน นั่นหมายถึงต้องจัดเรียงอุปกรณ์ของอาหารที่เสิร์ฟก่อนไว้ด้านนอกนั่นเอง ฟังดูแล้วอาจจะยังนึกภาพไม่ออก วันนี้เราจึงได้รวมวิธีจัดโต๊ะอาหารตามหลักสากลมาฝาก ลองมาดูกันว่าจะมีแบบไหนบ้าง

รวมวิธีจัดโต๊ะอาหารที่ถูกหลักตามแบบฉบับสากล

1. การจัดโต๊ะอาหารแบบไม่เป็นทางการการจัดโต๊ะอาหารแบบไม่เป็นทางการ

การจัดโต๊ะอาหารแบบไม่เป็นทางการ จะเป็นวิธีการจัดโต๊ะอาหารสำหรับทานกันเองภายในครอบครัวหรือทานกับเพื่อนฝูง คนสนิท ดังนั้นอุปกรณ์บนโต๊ะจะมีไม่มาก แต่เพื่อความพิเศษมากขึ้นจึงต้อง มีหลักการจัดวางอุปกรณ์ให้มีความสวยงามและเป็นระเบียบ ดังนี้
  • จัดวางจานอาหารหลัก 1 ใบไว้ตรงกลางหน้าที่นั่ง บนแผ่นรองจาน 
  • วางถ้วยซุปและผ้าเช็ดปากทับบนจานอาหารหลัก
  • ฝั่งซ้ายของจานอาหาร : ส้อมอาหาร
  • ฝั่งขวาของจานอาหาร : มีด ช้อนอาหาร และช้อนซุป โดยเรียงจากด้านในไปด้านนอก
  • ฝั่งบน เยื้องไปทางขวาของจานอาหารหลักประมาณ 45 องศา : แก้วน้ำ แก้วไวน์ หรือแก้วกาแฟ

2. การจัดโต๊ะอาหารแบบเป็นทางการการจัดโต๊ะอาหารแบบเป็นทางการ

การจัดโต๊ะอาหารแบบเป็นทางการ เหมาะสำคัญงานสำคัญ รองรับแขกคนสำคัญ ซึ่งเราพบเห็นวิธีการจัดโต๊ะอาหารแบบทางการตามร้านอาหารหรูหรือร้านอาหารในโรงแรมใหญ่ โดยจะมีอุปกรณ์เยอะกว่าแบบไม่เป็นทางการ จึงต้องมีหลักการจัดวางเพื่อให้โต๊ะอาหารไม่ดูแคบและอึดอัด ดังนี้
  • จัดวางอาหารจานหลัก 1 ใบไว้ตรงกลางบนแผ่นรองจาน หน้าเก้าอี้แต่ละตัว
  • ด้านซ้ายของจานอาหาร : ส้อมอาหาร ส้อมปลา และส้อมสลัด โดยเรียงจากด้านในไปด้านนอก
  • ด้านขวาของจานอาหาร : มีดอาหาร มีดปลา มีดสลัด ช้อนอาหาร ช้อนซุป โดยเรียงจากด้านในไปด้านนอก
  • ด้านบนของจานอาหาร 90 องศา : ช้อนส้อมสำหรับขนมหวาน โดยหันปลายช้อนไปด้านซ้าย และหันปลายส้อมไปด้านขวา
  • ด้านบน เยื้องไปทางขวาของจานอาหารหลักประมาณ 45 องศา : แก้วน้ำ แก้วไวน์แดง และแก้วไวน์ขาว โดยเรียงจากด้านในไปด้านนอก
  • ด้านบน เยื้องไปทางซ้ายของจานอาหารหลักประมาณ 45 องศา : จานเล็กสำหรับขนมปัง และมีดทาเนย
  • จัดวางผ้าเช็ดปากบนจาน หรือวางไว้ใต้ซ้อมได้

3. การจัดโต๊ะอาหารแบบกึ่งทางการ

การจัดโต๊ะอาหารแบบกึ่งทางการ การจัดโต๊ะอาหารแบบกึ่งทางการ เหมาะสำหรับการกินเลี้ยงมื้อกลางวัน หรือมื้อค่ำ อุปกรณ์บนโต๊ะอาหารจะมากกว่าแบบไม่เป็นทางการ แต่น้อยกว่าแบบเป็นทางการ โดยจัดเรียงดังนี้
  • จัดวางอาหารจานหลัก 1 ใบไว้ตรงกลางบนแผ่นรองจาน หน้าเก้าอี้แต่ละตัว
  • วางผ้าเช็ดปากไว้บนจาน แล้ววางถ้วยซุปบนผ้าเช็ดปาก
  • ด้านซ้ายของจานอาหาร : ส้อมอาหาร และส้อมสลัด โดยเรียงจากด้านในไปด้านนอก
  • ด้านขวาของจานอาหาร : มีดอาหาร ช้อนอาหาร และช้อนซุป โดยเรียงจากด้านในไปด้านนอก
  • ด้านบนของจานอาหาร 90 องศา : ช้อนสำหรับขนมหวาน โดยหันปลายช้อนไปด้านขวา
  • ด้านบน เยื้องไปทางขวาของจานอาหารหลักประมาณ 45 องศา : แก้วน้ำ และแก้วไวน์
  • ด้านบน เยื้องไปทางซ้ายของจานอาหารหลักประมาณ 45 องศา : จานเล็กสำหรับขนมปัง และมีดทาเนย

4. การจัดโต๊ะอาหารแบบพื้นฐานการจัดโต๊ะอาหารแบบพื้นฐาน

การจัดโต๊ะอาหารแบบพื้นฐาน เหมาะสำหรับจัดโต๊ะเพื่อทานกันเองในครอบครัว หรือจัดโต๊ะอาหารที่บ้านเพื่อความเป็นระเบียบและสวยงาม สามารถจัดเรียงได้ดังนี้
  • จัดวางอาหารจานหลัก 1 ใบไว้ตรงกลางบนแผ่นรองจาน หน้าเก้าอี้แต่ละตัว
  • วางผ้าเช็ดปากไว้บนจาน 
  • ด้านซ้ายของจานอาหาร : ส้อมอาหาร 
  • ด้านขวาของจานอาหาร : มีดอาหาร และช้อนอาหาร โดยเรียงจากด้านในไปด้านนอก
  • ด้านบน เยื้องไปทางขวาของจานอาหารหลักประมาณ 45 องศา : แก้วน้ำ
  • หากมีการเสิร์ฟขนมปังและเนย ให้จัดวางจานขนมปัง และมีดทาเนย ฝั่งบน เยื้องไปทางซ้ายของจานอาหารหลักประมาณ 45 องศา เหนือส้อมอาหาร
และนี่ก็คือวิธีจัดโต๊ะอาหารแบบสากลทั้ง 4 แบบที่เรานำมาฝาก สามารถนำไปปรับใช้ตามโอกาสรับรองว่าจะทำให้โต๊ะอาหารของคุณเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น เสริมความดูดีให้กับโต๊ะอาหาร พร้อมรับแขกในโอกาสพิเศษ อย่างไรก็ตามอย่าลืมใส่ใจกับอาหารทุกเมนูที่จัดเสิร์ฟ โดยเลือกใช้เครื่องครัวที่มีคุณภาพอย่างเครื่องครัวยุโรปจาก Tecnogas ที่พร้อมมอบประสบการณ์ในการทำอาหารของคุณ และเสริมห้องครัวของคุณให้ดูดีแบบครบสูตรกับเครื่องครัวยุโรปแท้

สูตรทำสเต็กเนื้อ นุ่มชุ่มฉ่ำแบบเชฟ Michelin มาเอง

สูตรทำสเต็กเนื้อ
ขอเอาใจสายเนื้อที่ไม่อยากจ่ายแพงแสนแพงเมื่อไปทานที่ร้าน กับสูตรทำสเต็กเนื้อแบบเชฟระดับ Michelin Star พร้อมบอกรายละเอียดวัตถุดิบและวิธีทำสเต็กเนื้อแบบหมดเปลือก ใครอยากรู้ว่าทำยังไง ตามไปดูกันเลย

วิธีทำสเต็กเนื้อแตกต่างจากสเต็กอื่น ๆ อย่างไร

วิธีทำสเต็กเนื้อ มีความซับซ้อนและแตกต่างไปจากวัตถุดิบประเภทอื่น ๆ ตั้งแต่การเลือกใช่ส่วนของเนื้อ ซึ่งจะมีระดับความนุ่มที่แตกต่างกัน รวมทั้งต้องมีการพักเนื้อเพื่อให้เนื้อมีความชุ่มฉ่ำ ไม่สามารถนำมาย่างได้เลยเหมือนวัตถุดิบอื่น ๆ ในขณะที่ความสุกก็มีหลายระดับ โดยแต่ละระดับความสุกก็มีส่วนสำคัญกับความอร่อยของสเต็กเป็นอย่างมาก เห็นแบบนี้แล้วอย่าพึ่งถอดใจ แม้จะมีรายละเอียดมาก แต่ถ้ารู้วิธีก็สามารถทำสเต็กเนื้อจานหรูออกมาได้แน่นอน

สูตรทำสเต็กเนื้อที่เชฟระดับ Michelin แนะนำ

วัตถุดิบสำคัญสำหรับสูตรทำสเต็กเนื้อวัตถุดิบทำสเต็กเนื้อ

  • เนื้อส่วนริบอาย หรือส่วนตามชอบ 300-400 กรัม 1 ชิ้น
  • น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือสมุทร 1 ช้อนชา
  • พริกไทยสดป่น 1 ช้อนชา
  • กระเทียม 1 หัว
  • ใบไทม์หรือโรสแมรี 1 ก้าน
  • เนย 15 กรัม

ขั้นตอนการหมักเนื้อขั้นตอนการหมักเนื้อ

  1. เริ่มต้นด้วยการนำเนื้อออกจากตู้เย็น แล้วทิ้งเนื้อไว้ที่อุณหภูมิห้อง ประมาณ 30 – 60 นาที 
  2. ซับเนื้อให้แห้ง เพื่อป้องกันน้ำมันกระเด็น
  3. ทาน้ำมันมะกอกให้ทั่วเนื้อ จากนั้นปรุงรสด้วยเกลือสมุทรและพริกไทยสดป่น โดยนวดเบา ๆ ให้เท่ากันทั่วทั้งชิ้น

ขั้นตอนการย่างสเต็กเนื้อให้นุ่มฉ่ำการย่างสเต็กเนื้อให้นุ่มฉ่ำ

  1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอกให้ร้อน 
  2. นำเนื้อลงจี่บนกระทะ รอสักพักจากนั้นใส่เนย กระเทียม และใบไทม์หรือโรสแมรี ตามลงไป
  3. เคล็ดลับในการย่างสเต็กเนื้อ คือ หากชอบแบบแรร์ให้ย่างข้างละ 1 นาทีครึ่ง แบบมีเดียมแรร์ให้ย่างข้างละ 2 นาที แบบมีเดียมให้ย่างข้างละ 2 นาทีครึ่ง ถ้าชอบแบบสุกเลยแนะนำให้ย่างข้างละ 4-5 นาที แต่สำหรับใครที่อยากได้เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำก็แนะนำให้ย่างระดับมีเดียมแรร์ ซึ่งเป็นความสุกเหมาะสมสำหรับสเต็กเนื้อที่สุด
  4. นำเนื้อออกจากกระทะ และพักบนจานประมาณ 10 นาที

ขั้นตอนการจัดใส่จานให้น่ารับประทานระดับเชฟการจัดใส่จานสเต็ก

  1. ก่อนเสิร์ฟ แนะนำให้นำเนื้อลงกระทะร้อนอีก 30 วินาที แล้วใส่ในเตาออกเพื่อคงความร้อน
  2. นำเนื้อมาหั่นเพื่อให้เห็นสีด้านในของเนื้อ จะทำให้เห็นความฉ่ำของเนื้อ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเสต็ก
  3. เลือกใช้จานที่มีน้ำหนัก และมีขนาดใหญ่ เพื่อให้มีพื้นที่ในการหั่นสเต็ก รวมทั้งเวลาคนทานหั่นสเต็กแล้วจานไม่ขยับไปตามการหั่นเนื้อ สามารถเลือกใช้ทั้งจานเซรามิกหรือจานไม้
  4. จัดวางเนื้อแบบกระจายเพื่อให้เห็นความสุกของเนื้อ สีที่สวยของเนื้อจะทำให้คนทานประทับใจ
  5. สามารถเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่างมันบด ผักอบหรือย่าง ได้
เพียงเท่านี้ก็จะได้สเต็กเนื้อจานหรูระดับมิชลินแล้ว จะเห็นได้ว่าวิธีทำสเต็กเนื้อให้มีความนุ่มชุ่มฉ่ำ การเลือกใช้กระทะและไฟที่ร้อนสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นใครอยากลองทำตามสูตรทำสเต็กเนื้อที่เรานำมาฝาก ก็ควรเลือกใช้เตาแก๊ส เตาไฟฟ้า เตาอบ หรือเครื่องครัวแบบ 2 in 1 อย่างเตาแก๊สพร้อมเตาอบที่มีคุณภาพสูงได้มาตรฐาน มายกระดับความพรีเมี่ยมของมื้ออาหารเทียบเท่ามิชลินด้วยเครื่องครัวยุโรปนำเข้าจากอิตาลีจาก Tecnogas

วิธีทำครัวซองต์ฝรั่งเศส ขนมอบยอดฮิตจากยุโรป

วิธีทำครัวซองต์ฝรั่งเศส
เชื่อว่า ครัวซองต์ คงเป็นเมนูโปรดของใครหลาย ๆ คน ด้วยเนื้อที่เหนียวนุ่ม หอมเนย จะทานเดี่ยว ๆ หรือทานคู่กับเครื่องดื่มร้อน ๆ ก็เข้ากัน แต่ถ้าอยากจะลองทำเอง หลายคนก็คงส่ายหน้า เพราะเป็นขนมที่ขึ้นชื่อเรื่องความซับซ้อน หลายขั้นตอน แต่อย่าพึ่งรีบถอดใจ! เพราะวันนี้เราได้นำสูตรครัวซองต์ฝรั่งเศสมาฝากกัน พร้อมวิธีทำครัวซองต์แบบละเอียด พร้อมแล้วก็ตามไปดูกันเลย

วัตถุดิบในการทำครัวซองต์วัตถุดิบทำครัวซองต์

  • แป้งฝรั่งเศส T55 หรือแป้งอเนกประสงค์ไม่ฟอกขาว 500 กรัม
  • น้ำเย็น 140 กรัม
  • นมสดเย็น 140 กรัม
  • น้ำตาลทราย 55 กรัม
  • เนยจืดนิ่ม 40 กรัม 
  • ยีสต์ 11 กรัม
  • เกลือ 12 กรัม 
  • เนยจืดแช่แข็งสำหรับขึ้นรูป 280 กรัม
  • ไข่สำหรับทาผิวครัวซองต์ 1 ฟอง

วิธีทำครัวซองต์

ขั้นตอนการทำแป้งครัวซองต์ขั้นตอนการทำแป้งครัวซองต์

  1. นำแป้งฝรั่งเศส นมสด น้ำตาลทราย ยีสต์ เกลือ เนยจืดนิ่ม ผสมให้เข้ากันโดยใช้พายยางหรือมือ จากนั้นเติมน้ำเย็นลงไป
  2. นวดแป้งครัวซองต์ให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ไม่ติดภาชนะ
  3. รีดแป้งเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม คลุมด้วยพลาสติก Wrap แล้วนำเข้าตู้เย็นทิ้งไว้ข้ามคืน

ขั้นตอนการเข้าเนยสำหรับทำครัวซองต์ขั้นตอนการเข้าเนยสำหรับทำครัวซองต์

  1. นำเนยจืดแช่แข็งสำหรับขึ้นรูปออกมาจากตู้เย็น แล้วตัดให้เนยมีความหนา 1.25 เซนติเมตร
  2. เรียงเนยบนกระดาษไขรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 17×17 เซนติเมตร จากนั้นห่อกระดาษไขแล้วนำไปแช่เย็น
  3. นำแป้งครัวซองต์ที่แช่เย็นไว้ ออกมารีดเป็นรูปสี่เหลี่ยมให้มีความหน้าเท่ากันทั่วทั้งแผ่น 
  4. นำเนยที่แช่เย็นไว้มาวางบนแป้ง แล้วพับแป้งปิดเนยแบบ Letter Fold คือ แบ่งแป้งเป็น 3 ส่วน แล้วพับฝั่งด้านบนลงมา แล้วค่อยพับอีกด้านทับตรงกลาง
  5. โดยใช้นิ้วหรือฝ่ามือกดเบา ๆ ตรงรอยต่อที่แป้งทบกันเพื่อปิดตะเข็บรอยแป้ง แล้วนำแป้งไปแช่เย็น
  6. นำแป้งออกจากตู้เย็น รีดแป้งเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 20×60 เซนติเมตร โดยรีดจากตรงกลางไปที่ขอบเพื่อให้แป้งหนาสม่ำเสมอ 
  7. พับแป้ง 3 ทบ แล้วนำไปแช่ตู้เย็น 20-30 นาที แล้วนำออกมารีดให้มีขนาดพอที่จะพับเป็น 3 ส่วนได้อีกในครั้งต่อไป โดยจะทำขั้นตอนนี้ซ้ำทั้งหมด 3 ครั้ง และหลังจากครั้งที่ 3 จะแช่ตู้เย็นข้ามคืน

ขั้นตอนการขึ้นรูปครัวซองต์ขั้นตอนการขึ้นรูปครัวซองต์

  1. นำแป้งครัวซองต์ที่เข้าเนยเรียบร้อยมารีดให้ได้ขนาดประมาณ 20×110 เซนติเมตร 
  2. ตัดแป้งเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเท่า ๆ กัน ขนาดตามชอบ
  3. ม้วนแป้งโดยเริ่มม้วนจากฐานของสามเหลี่ยม จะได้เป็นรูปทรงของครังซองต์
  4. นำครัวซองต์ไปเรียบใส่ถาด พักให้แป้งขึ้นจนได้ที่

ขั้นตอนการอบครัวซองต์ขั้นตอนการอบครัวซองต์

  1. ก่อนอบให้ทาไข่บาง ๆ เคลือบผิวของแป้ง 
  2. นำไปอบที่เตาอบอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ประมาณ 18-20 นาที โดยเมื่อครบ 10 นาทีแรก ให้กลับถาด และอบต่อ จนแป้งเป็นสีเหลืองสุกทั่วกัน
เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีทำครังซองต์ฝรั่งเศส เรียกได้ว่าปราบเซียนสุด ๆ เพราะมีขั้นตอนที่ละเอียด แต่ถ้าฝึกทำบ่อย ๆ เราก็จะคุ้นชินและทำได้ดีขึ้นแน่นอน ซึ่งสิ่งสำคัญของการทำครัวซองต์ คือ อุณหภูมิของเตาอบ หากอุณหภูมิสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้ครัวซองต์มีหน้าตาและสีสันน่ารับประทาน ดังนั้นใครที่มองหาเตาอบสำหรับทำครัวซองต์ Tecnogas ให้บริการจำหน่ายเครื่องครัวยุโรปที่เหมาะกับการทำขนมยุโรปอย่างครัวซองต์เป็นที่สุด เพราะเตาอบของเรา สามารถควบคุมอุณหภูมิและไฟได้อย่างแม่นยำ ให้ทำครัวซองต์แสนอร่อยได้สำเร็จ

วิธีทำผักอบกรอบ กับ 9 ผักสุดฮิต

วิธีทำผักอบกรอบง่าย ๆ ด้วยเตาอบ
หากจะพูดถึงเมนูยอดฮิตในโลกโซเชียลทุกวันนี้ ก็คงหนีไม่พ้นผักอบกรอบ เมนูของขบเคี้ยวยามว่าง อร่อย เคี้ยวเพลิน และแคลอรีต่ำ จึงเป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ วันนี้ Tecnogas จึงได้นำวิธีทำผักอบกรอบแบบง่าย ๆ เพียงแค่มีเตาอบสักเครื่อง ก็สามารถทำทานเองที่บ้านได้แล้ว!

อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้

  • ภาชนะสำหรับผสมวัตถุดิบ
  • เตาอบ

วิธีทำผักอบกรอบ กับ 9 ผักสุดฮิต

1. บรอกโคลีอบกรอบ

บรอกโคลีอบกรอบ ส่วนผสม
  • บรอกโคลี 1 หัวเล็ก
  • น้ำมันมะกอก
  • เกลือ ½ ช้อนชา
  • ผงกระเทียมตามความชอบ
  • พริกไทยป่นตามความชอบ
วิธีทำ
  1. หั่นบรอกโคลีเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ โดยส่วนต้นให้หั่นเป็นแผ่นบาง จากนั้นนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด
  2. นำบรอกโคลีไปคลุกกับน้ำมันมะกอก เกลือ ผงกระเทียม และพริกไทยป่อน
  3. วางเรียงบนกระดาษรอง และเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส 20 นาที หากทำจำนวนน้อยสามารถใช้เตาอบขนาดเล็กได้ 
  4. กลับด้านทุก 10 นาที เพื่อให้ผักกรอบอย่างทั่วถึง

2. มันหวานญี่ปุ่นอบกรอบ

มันหวานญี่ปุ่นอบกรอบ ส่วนผสม
  • มันหวานญี่ปุ่น 500 กรัม
  • หอมใหญ่อบแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ
  • ต้นหอมอบแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมอบแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันอะโวคาโด 4 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
  1. ล้างมันหวานญี่ปุ่นให้สะอาด แล้วหั่นสไลด์เป็นแผ่นบางหรือเป็นแท่งตามชอบ
  2. โรยน้ำมันอะโวคาโดลงไปคลุกเคล้าให้เท่ากัน
  3. เตรียมเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส และวางกระดาษรองถาดอบ
  4. จัดเรียงมันหวานลงบนถาด โรยหอมใหญ่อบแห้ง กระเทียมอบแห้ง ต้นหอมอบแห้งลงไป
  5. เข้าอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส 10 นาที แล้วนำออกมากลับด้าน โรยหอมใหญ่อบแห้ง กระเทียมอบแห้ง ต้นหอมอบแห้งลงไปอีกด้าน แล้วอบต่ออีก 10 นาทีเป็นอันเสร็จ

3. บีทรูทอบกรอบ

บีทรูทอบกรอบ ส่วนผสม
  • บีทรูท 1 หัว
  • น้ำมันมะกอก
  • เกลือป่น
  • พริกไทยดำป่น
  • ผงกระเทียม
วิธีทำ 
  1. ล้างบีทรูทให้สะอาด แล้วหั่นสไลด์เป็นแผ่นบาง
  2. นำบีทรูทมาคลุกเคล้ากับน้ำมันมะกอก เกลือป่น พริกไทยดำ และผงกระเทียมให้เข้ากัน
  3. เตรียมเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส และวางกระดาษรองถาดอบ
  4. จัดเรียงบีทรูทลงบนถาด เข้าอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส 15-20 นาที แล้วนำออกมากลับด้าน แล้วอบต่ออีก 5-10 นาที หรือจนผักกรอบได้ที่เป็นอันเสร็จ

4. แครอทอบกรอบแครอทอบกรอบ

ส่วนผสม
  • แครอท 5 หัว
  • น้ำมันมะกอก ¼ ถ้วย
  • เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
  • ยี่หร่าป่น 1 ช้อนชา
  • ผงอบเชย 1 ช้อนชา
วิธีทำ
  1. ล้างทำความสะอาดแครอทให้สะอาด ปอกเปลือก แล้วหั่นเป็นแผ่นตามชอบ
  2. คลุกเคล้าแครอทกับน้ำมันมะกอก เกลือ ยี่หร่าป่น และผงอบเชย
  3. เตรียมเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส และวางกระดาษรองถาดอบเตรียมไว้
  4. จัดเรียงบนถาด เข้าอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส 10-15 นาที แล้วนำออกมากลับด้าน แล้วอบต่ออีก 5-10 นาที จนผักกรอบเป็นอันเสร็จ พร้อมเสิร์ฟ

5. เห็ดหอมอบกรอบเห็ดหอมอบกรอบ

ส่วนผสม
  • เห็ดหอม 300 กรัม
  • น้ำมันมะกอก 5 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ
  • พริกไทยดำป่น
วิธีทำ
  1. นำเห็ดหอมไปล้างให้สะอาด หั่นก้านแข็ง ๆ ออก และซับน้ำให้แห้ง
  2. นำเห็ดมาคลุกเคล้ากับน้ำมันมะกอกและเกลือ
  3. เตรียมเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส และวางกระดาษรองถาดอบเตรียมไว้
  4. จัดเรียงเห็ดหอมบนถาด เข้าอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส 40 นาที แล้วนำออกมากลับด้าน แล้วอบต่ออีก 20-40 นาที จนเห็ดหอมกรอบ โรยพริกไทยดำป่นตามชอบ พร้อมเสิร์ฟ

6. กระเจี๊ยบอบกรอบกระเจี๊ยบอบกรอบ

ส่วนผสม
  • กระเจี๊ยบเขียว 500 กรัม
  • น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ
  • พริกไทยดำป่น
วิธีทำ
  1. นำกระเจี๊ยบเขียวไปล้างให้สะอาด ตัดขั้วออก ซับน้ำให้แห้ง
  2. หั่นกระเจี๊ยบเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอดีคำ หรือจะใช้แบบทั้งฝักก็ได้ตามชอบ
  3. นำกระเจี๊ยบมาคลุกเคล้ากับน้ำมันมะกอกและเกลือ
  4. เตรียมเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส และวางกระดาษรองถาดอบเตรียมไว้
  5. จัดเรียงกระเจี๊ยบบนถาด เข้าอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ประมาณ 15 นาที โดยทุก ๆ 5 นาที นำออกมากลับด้าน เพื่อให้ผักกรอบสีสวยงามทั่วทั้งชิ้น 
  6. เมื่อครบ 15 นาที โรยพริกไทยดำป่นปรุงรสตามชอบ พร้อมเสิร์ฟ

7. ผักเคลอบกรอบผักเคลอบกรอบ

ส่วนผสม
  • ผักเคล 75 กรัม
  • น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา
  • เกลือ
  • พริกไทยป่น
  • ผงกระเทียม
วิธีทำ
  1. ล้างทำความสะอาดผักเคลให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นโดยใช้เฉพาะส่วนใบ
  2. นำผักเคลมาคลุกเคล้ากับน้ำมันมะกอก เกลือ พริกไทยป่น และผงกระเทียม
  3. เตรียมเตาอบให้ร้อนที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส และวางกระดาษรองถาดอบเตรียมไว้
  4. จัดเรียงบนถาด เข้าอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส 5 นาที แล้วนำออกมากลับด้าน แล้วอบต่ออีก 5 นาที เป็นอันเสร็จ

8. ฟักทองอบกรอบฟักทองอบกรอบ

ส่วนผสม
  • ฟักทอง 1 ลูก
  • เกลือ 
  • พริกไทย
  • ผงอบเชย
วิธีทำ
  1. นำฟักทองมาล้างทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ 
  2. เตรียมเตาอบให้ร้อนที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส และวางกระดาษรองถาดอบเตรียมไว้
  3. จัดเรียงฟักทองบนถาด ไม่ทับซ้อนกัน แล้วอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส 20-30 นาที จบกรอบได้ที่ จากนั้นโรยเกลือ พริกไทย และผงอบเชยตามชอบ พร้อมเสิร์ฟ

9. ขนุนอบกรอบขนุนอบกรอบ

ส่วนผสม
  • ขนุน 500 กรัม
  • เกลือป่น
วิธีทำ
  1. นำขนุนมาล้างทำความสะอาด แล้วพักให้แห้ง
  2. จัดเรียงขนุนบนเตาอบ และเข้าอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ประมาณ 20 นาที โดยเมื่อครบ 5 นาที นำออกมากลับด้าน อบต่ออีก 5 นาที จากนั้นกลับด้านอีกครั้ง โรยเกลือป่น และอบต่ออีก 5 นาที
และนี่ก็คือวิธีทำผักอบกรอบที่เรานำมาฝากกัน จะเห็นได้ว่าสามารถทำเมนูผักอบกรอบทานเล่นง่าย ๆ ที่บ้าน ช่วยให้เก็บผักได้นานขึ้น จะทำทานเองก็ดี จะทำขายก็ปังแน่นอน หากทำทานเองทีละน้อย ๆ แนะนำให้เลือกใช้เตาอบตั้งโต๊ะ เตาอบขนาดเล็กที่บอกเลยว่าจิ๋วแต่แจ๋ว แต่หากทำปริมาณมาก ๆ หรือทำขาย แนะนำเตาอบแบบฝัง ซึ่งที่ tecnogas ก็มีเตาอบมาตรฐานหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรร ให้คุณได้ทำผักอบออกมารวดเร็ว อร่อย และกรอบนาน

Follow Us

TEL. 02-274-3434
EMAIL : webmaster@sbo-brand.com

The Signature Brand Co., Ltd. 
771 Pracha Uthit Road, Samsen Nok,Huai Khwang District, Bangkok 10310