รวมไอเดียแต่งห้องครัวโทนดำให้ดูลงตัว

รวมไอเดียแต่งห้องครัวโทนดำให้ดูลงตัวย

ต้องบอกเลยว่าในการแต่งบ้านนั้นถือเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่แต่ละคนจะชื่นชอบสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็ชื่นชอบแนวน่ารัก อบอุ่น หรือบางคนก็ชอบแนวแบบเรียบหรู ดูแพง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนตัวด้วย แน่นอนว่าในการแต่งบ้านคงไม่ได้แต่งแค่ส่วนของตัวบ้านเท่านั้น ห้องต่าง ๆ ภายในบ้านเองก็สำคัญ รวมถึงห้องครัวด้วย ซึ่งขณะนี้การแต่งห้องครัวโทนสีดำกำลังมาแรงมาก ในบทความนี้จึงอยากมาช่วยแชร์ไอเดียกัน

ไอเดียแต่งห้องครัวโทนสีดำ

ในยุคปัจจุบันการแต่งบ้านให้อยู่ในโทนสีดำถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก ๆ แล้ว และได้รับการยอมรับมากมายกว่าเมื่อก่อน แน่นอนว่าหากแต่งบ้านเป็นสีดำ ครัวโทนดำเองก็ต้องตามมาด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการช่วยให้บ้านดูไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น ทั้งนี้บางคนอาจจะมีความสนใจในการแต่งครัวโทนสีดำแต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องแต่งส่วนไหนบ้าง จึงอยากจะมาแชร์ไอเดียให้ได้นำไปปรับใช้กันดังนี้

1. ผนังต้องเป็นสีดำทั้งหมด

ไอเดียแต่งห้องครัวโทนสีดำ

เริ่มจากเรื่องของผนังห้องครัวกันก่อน ควรที่จะมีการแต่งผนังห้องครัวโทนสีดำ แต่ทั้งนี้ในการแต่ผนังอาจจะไม่ได้เป็นการแต่งให้ผนังสีดำทั้งหมด ควรทำให้ผนังบางส่วนมีสีอื่น ๆ หรือบางมุมมีสีดำตัดกับสีอื่นด้วย ก็จะเป็นการช่วยทำให้ห้องครัวนั้นดูไม่ทึบมากจนเกินไป

2. เฟอร์นิเจอร์โทนสีดำล้วน

idea-for-decorate-black-kitchen

การแต่งห้องครัวให้เป็นสีดำนั้น ไม่เพียงแค่จะต้องแต่ตรงส่วนของผนังห้องเท่านั้น เฟอร์นิเจอร์ที่ต้องนำมาใช้ในห้องครัวเองก็จำเป็นที่จะต้องเลือกที่เป็นสีดำมาใช้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการทำให้ห้องครัวกับเฟอร์นิเจอร์อยู่ในธีมและทิศทางสีเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มความคลาสสิกให้กับห้องครัวด้วย

3. อ่างล้างจาน

idea-for-decorate-black-kitchen

ในส่วนของอ่างล้างจานเองก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามหากว่าอยากจะแต่งห้องครัวโทนสีดำ เพราะหากมีเครื่องครัวยุโรปเป็นสีอื่น ๆ ก็อาจจะทำให้มีความโดดเด่นมากเกินส่วนอื่น ๆ ในห้องที่แต่งเป็นโทนเดียวกันได้ จึงควรเลือกอ่างล้างจานที่มีสีดำ เพื่อเป็นการคุมโทนและยังช่วยให้ดูหรูหรามากขึ้นด้วย ทั้งนี้ก็รวมไปถึงการใช้ก๊อกน้ำและเคาร์เตอร์ที่เป็นสีดำด้วยนั่นเอง

4. เคาน์เตอร์ครัว

idea-for-decorate-black-kitchen-1

มาถึงในส่วนของเคาร์เตอร์ภายในห้องครัวกันบ้าง แน่นอนว่าเมื่อเป็นห้องครัวธีมสีดำ เพื่อให้เป็นการคุมโทนของห้องครัวได้ดีเคาร์เตอร์เองก็ควรจะเป็นสีดำด้วยเช่นกัน ซึ่งจะใช้เป็นเคาร์เตอร์สีดำแบบธรรมดา หรือเคาร์เตอร์ที่เป็นสเตนเลสสีดำก็ได้ทั้งนั้น

5. อุปกรณ์ครัว

idea-for-decorate-black-kitchen-2

การแต่งครัวสีดำจะต้องครอบคลุมไปถึงเรื่องของอุปกรณ์ที่ใช้ในห้องครัวด้วย โดยควรจะใช้อุปกรณ์ครัวที่เป็นสีดำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น มีด ทัพพี กระทะ หรือว่าตะหลิว ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีอุปกรณ์เครื่องครัวที่เป็นสีดำให้เลือกซื้อหลากหลายรูปแบบเลย

6. เตาและไมโครเวฟสีดำ

idea-for-decorate-black-kitchen-3

เตาและไมโครเวฟที่จะอยู่ในห้องครัวสีดำก็เป็นสิ่งที่ควรเลือกซื้อแบบที่เป็นสีดำมาด้วยเช่นกัน โดยส่วนมากแล้วเตาที่ใช้กันทั่วไปก็มักจะเป็นสีดำอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาซื้อ ในส่วนของไมโครเวฟส่วนใหญ่จะเป็นสีขาว แต่ปัจจุบันนี้ไมโครเวฟสีดำก็มีวางขายมากขึ้นแล้ว จึงช่วยให้สามารถเลือกซื้อได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน

7. ชั้นวางของสีดำ

ในส่วนสุดท้ายที่อยากแนะนำว่าควรจะเป็นสีดำด้วยเช่นกัน ก็คือ การทำชั้นวางของเป็นสีดำ แน่นอนว่าหากอยากที่จะคุมโทนของห้องครัวให้ได้มากที่สุด นอกจากจะต้องทำในสิ่งที่กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ชั้นวางของเองก็ไม่ควรมองข้ามเลย เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในส่วนของห้องครัวที่มีความโดดเด่นมาก ๆ

สรุปบทความ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นไอเดียดี ๆ ในการแต่งครัวโทนดำที่อยากเอามาแนะนำให้ได้รู้กัน เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการแต่งห้องครัวในบ้านของตัวเอง หรือจะนำไปแต่งห้องครัวในร้านอาหารก็สามารถทำได้เช่นกัน ก็จะช่วยสร้างความโดดเด่น ความหรูหรา และดูดีให้ได้มากทีเดียว

แนะนำประโยชน์ของน้ำส้มสายชู ที่ควรมีในครัว

แนะนำประโยชน์ของน้ำส้มสายชู ที่ควรมีในครัว

น้ำส้มสายชู หนึ่งในเครื่องปรุงรสที่เรียกได้ว่ามีติดครัวอยู่ในทุก ๆ บ้านอย่างแน่นอน เพราะสามารถที่จะนำไปใช้ในการปรุงรสอาหารได้หลากหลายเมนู แต่นอกจากการเป็นเครื่องปรุงแล้ว น้ำส้มสายชูยังเป็นไอเทมเด็ดที่มีประโยชน์มากมายเลย โดยแต่ละอย่างก็ล้วนเป็นประโยชน์และสามารถใช้ได้ดีด้วย แล้วประโยชน์ของน้ำส้มสายชูจะมีอะไรบ้าง ในบทความนี้มีคำตอบ

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วนอกจากที่น้ำส้มสายชูจะเป็นเครื่องปรุงรสแล้ว ก็ยังเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ลับ ๆ ซ่อนอยู่มากมายเลย ซึ่งประโยชน์ของน้ำส้มสายชูก็มีดังต่อไปนี้

1. หมักเนื้อสัตว์ให้นุ่มได้

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชูข้อแรก คือ น้ำส้มสายชูสามารถนำมาใช้สำหรับการหมักเนื้อสัตว์ให้นุ่มได้ ในเรื่องนี้เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนแน่นอนว่าน้ำส้มสายชูสามารถทำได้ โดยวิธีการก็ง่าย ๆ เพียงแค่นำน้ำส้มสายชูในอัตรา 1 ส่วน 4 ของถ้วย ผสมลงในน้ำหมักของหมูปริมาณ 1 กก. ซึ่งหมักไว้แค่ 20 นาทีเท่านั้น ก็สามารถช่วยให้เนื้อหมูมีความนุ่มได้แล้ว

2. ปอกเปลือกไข่ต้มได้ง่ายขึ้น

อย่างที่หลายคนรู้กันว่าการที่ไข่ไก่ไม่สดจะทำให้ต้มแล้วแกะได้ยากมาก ๆ และบางทีก็มีเนื้อไข่ขาวติดไปกับเปลือกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้น้ำส้มสายชู โดยการนำน้ำส้มสายชูเติมลงไปในน้ำที่ต้มไข่ด้วย เพียงแค่ ½ ช้อนโต๊ะก็สามารถช่วยทำให้ไข่ต้มปอกเปลือกได้ง่ายมากขึ้นแล้วนั่นเอง

3. ล้างผักให้สะอาดได้ดี

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชูข้อต่อมา คือ การนำน้ำส้มสายชูมาใช้ในการล้างผักให้สะอาด เนื่องจากว่าผักที่เรากินกันทุกวันนี้มีสารเคมีตกค้างเยอะจึงจำเป็นต้องล้างทำความสะอาดให้ดี ในส่วนนี้น้ำส้มสายชูเองก็สามารถช่วยได้ วิธีการก็ไม่ยากเพียงแค่นำน้ำส้มสายชู 1-2 ช้อนโต๊ะผสมเข้ากับน้ำสะอาด 1 กะละมัง จากนั้นก็แช่ผักทิ้งไว้เป็นเวลา 10-20 นาที เมื่อครบเวลาก็ค่อยนำมาล้างผ่านน้ำเพื่อให้ผักสะอาดมากขึ้นอีกที

4. กำจัดกลิ่นบูดในหม้อหุงข้าว

ปัญหาข้าวบูดคาหม้อหุงข้าวหากว่าเป็นครั้งหนึ่ง ก็จะส่งผลทำให้ครั้งต่อ ๆ ไปโอกาสที่หุงแล้วข้าวจะบูดเร็วมีมากขึ้น หากเกิดปัญหานี้แล้วบอกเลยว่าชวนให้รู้สึกปวดหัวไม่น้อยเลย เพราะนอกจากจะทำให้หงุดหงิดแล้ว ก็ยังทำให้สิ้นเปลืองด้วย ทั้งนี้น้ำส้มสายชูสามารถช่วยได้ด้วยการนำเอาหม้อที่ล้างสะอาดแล้ว ใส่น้ำปริมาณครึ่งหม้อแล้วใส่น้ำส้มสายชูลงไปประมาณ 1 ถ้วยตวง ปิดฝาจากนั้นก็กดหุงทิ้งไว้สัก 20-30 นาที หลังจากนั้นจึงค่อยนำหม้อมาทำความสะอาดตามปกติและผึ่งเอาไว้ให้แห้งก็จะช่วยให้ข้าวไม่กลับมาบูดง่ายซ้ำ ๆ 

5. กำจัดคราบบนเตาแก๊ส

เมื่อทำครัวอยู่ตลอดจะเห็นได้เลยว่าหลีกเลี่ยงได้ยากมาก ๆ ที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาคราบบนเตาแก๊สขึ้น ยิ่งบางคราบเจอบ่อย ๆ แล้วไม่ได้ทำความสะอาดทันทีก็จะทำให้คราบยิ่งฝังแน่นมากขึ้นการกำจัดคราบจึงทำได้ยาก ทั้งนี้ในการกำจัดคราบบนเตาแก๊สสามารถทำได้ด้วยการใช้น้ำส้มสายชูฉีดไปให้ทั่วเตาแก๊ส จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ 15-30 นาที แล้วค่อยนำฝอยขัดหม้อมาขัด ก็จะช่วยทำให้คราบหลุดออกไปได้ง่ายมากขึ้น

6. กำจัดคราบในตู้เย็น

คราบในตู้เย็นเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อย เพราะตู้เย็นต้องใช้ในการแช่อาหารมากมาย บางครั้งก็มีคราบน้ำจากของสด หรือคราบจากอาหารติดอยู่ในตู้เย็นด้วย ในเรื่องนี้สามารถกำจัดได้ด้วยการใช้น้ำส้มสายชูผสมเข้ากับน้ำเปล่าในอัตราส่วนที่เท่ากัน แล้วใช้ผ้าชุบน้ำที่ผสมไว้นำไปเช็ดที่คราบต่าง ๆ ในตู้เย็น ก็จะช่วยทำให้ตู้เย็นสะอาดและคราบหลุดออกไปได้อย่างง่ายดายมากขึ้น

7. กำจัดคราบชาและกาแฟ

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชูข้อสุดท้ายที่จะเอามาแนะนำกัน คือ การที่น้ำส้มสายชูสามารถช่วยกำจัดคราบชาและกาแฟให้หมดไปได้ โดยให้นำน้ำส้มสายชูปริมาณ ½ ถ้วย ผสมเข้ากับเบกกิ้งโซดาปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำไปเทลงในแก้วน้ำที่มีคราบติดอยู่ แช่ทิ้งไว้อย่างนั้นสักพักหนึ่งแล้วค่อยนำมาขัดและทำความสะอาดตามปกติ

สรุปบทความ

benefit-of-vinegar

หากจะถามว่าเครื่องปรุงชนิดไหนที่มีประโยชน์หลากหลาย ก็ต้องบอกเลยว่าจะต้องเป็นน้ำส้มสายชูอย่างแน่นอน เพราะไม่ได้มีดีแค่การใช้ปรุงอาหารเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาปรับใช้กับสิ่งอื่น ๆ ได้ด้วย ซึ่งประโยชน์ของน้ำส้มสายชูก็ช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้กับคุณแม่บ้านทั้งหลายได้เป็นอย่างดีเลย

รวมประโยชน์ของเบกกิ้งโซดา สำหรับห้องครัว

รวมประโยชน์ของเบกกิ้งโซดา สำหรับห้องครัว

เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ก็แน่นอนว่าหลาย ๆ คนคงคุ้นชื่อและเคยได้ยินกันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในการทำขนมที่จะมีการใช้กันอยู่ตลอด รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วเบกกิ้งโซดาไม่ได้สามารถนำมาใช้ในการทำขนมได้อย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วประโยชน์ของเบกกิ้งโซดานั้นมีอยู่มากมายเลย โดยเฉพาะการนำมาใช้ประโยชน์ในห้องครัว ในบทความนี้จึงจะมาแชร์ทริกให้เหล่าคุณพ่อบ้านและแม่บ้านได้รู้กันนั่นเอง

ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดา

ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดา

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าเบกกิ้งโซดานั้นมีประโยชน์อยู่ไม่น้อยเลย โดยบางอย่างก็เป็นสิ่งที่หลายคนคาดไม่ถึงและไม่คิดว่าจะสามารถทำได้ด้วย ซึ่งประโยชน์ของเบกกิ้งโซดาก็มีดังต่อไปนี้

1. หมักเนื้อหมูให้นุ่ม

ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดาอย่างแรกเลยก็คือ การที่สามารถช่วยหมักหมูให้นุ่มได้ โดยการใช้เบกกิ้งโซดาจะช่วยทำให้หมูเด้ง นิ่มมากขึ้น และยังสามารถช่วยลดความเหนียวให้กับเนื้อหมูได้ด้วย โดยปัจจุบันนี้เบกกิ้งโซดาก็เป็นหนึ่งในส่วนผสมที่สำคัญในการหมักเนื้อสัตว์ไปแล้ว อย่างไรก็ตามในการใช้เบกกิ้งโซดาหมักหมูก็ควรใช้อย่างระวัง ไม่ควรใส่ในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะจะทำให้เนื้อสัตว์มีรสชาติที่ชมหรือว่าเฝื่อนได้ ซึ่งในการหมักเนื้อสัตว์ปริมาณ 1 กิโลกรัม ควรใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา

2. ช่วยให้ขนมเค้กฟู

ประโยชน์ข้อต่อมาของเบกกิ้งโซดา ก็คือ การที่สามารถช่วยทำให้ขนมเค้กฟูได้ ในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หลายคนคงจะเคยได้รู้กันมาอยู่แล้วว่าเบกกิ้งโซดาสามารถช่วยให้ขนมฟูได้ จึงทำให้นิยมนำมาใช้ในการทำเบเกอรี่ต่าง ๆ ซึ่งในการทำขนมปังสามารถที่จะนำเบกกิ้งโซดาใส่แทนยีสต์เพื่อช่วยให้ขนมนุ่มได้เช่นกัน

3. ใช้ทำไข่เจียวฟูได้

 การทอดไข่เจียวให้ฟูกรอบคงเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนอยากจะทำได้แน่นอน แต่การทอดไข่ในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่าย ๆ เลย โดยหากว่าใครต้องการให้ไข่เจียวออกมาเนื้อฟูและมีความกรอบสวยงาม ก็แนะนำว่าให้ใช้เบกกิ้งโซดาใส่ลงไปด้วยเล็กน้อย ซึ่งผสมเข้ากับไข่เจียวได้เลย แต่ต้องระวังว่าใส่แค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องใส่เยอะมากเกินไป เพียงแค่ปลายช้อนชาก็เพียงพอแล้ว

4. กำจัดคราบในไมโครเวฟ

ไมโครเวฟเครื่องครัวยุโรปที่อยู่แทบจะทุกบ้าน เพราะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประโยชน์และใช้ทำได้หลากหลายอย่าง แต่เมื่อใช้ไปเรื่อย ๆ ก็ย่อมเกิดคราบเลอะเทอะขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ ในการที่จะกำจัดคราบสกปรกให้หมดไปก็เป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนปวดหัวไม่น้อยเลย แต่ทั้งนี้ก็สามารถใช้เบกกิ้งโซดามาช่วยกำจัดคราบที่อยู่ในไมโครเวฟได้ ด้วยการนำเบกกิ้งโซดาผสมเข้ากับน้ำอุ่น จากนั้นนำผ้ามาชุบน้ำที่ละลายไว้ แล้วนำไปเช็ดที่ไมโครเวฟ ก็จะช่วยให้คราบต่าง ๆ หลุดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

5. ลดคราบไขมันในท่ออ่างล้างจาน

ปัญหาคราบในท่ออ่างล้างจานก็เป็นปัญหาที่น่าปวดหัวมากไม่แพ้กัน เพราะเมื่อล้างจานก็ย่อมมีเศษอาหารรวมถึงคราบมันจากอาหารต่าง ๆ ไปเกาะอยู่ที่อ่างล้างจานและท่ออ่างล้างจานได้ โดยสิ่งนี้สามารถขจัดได้ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา ซึ่งวิธีการก็คือ ให้นำเอาเบกกิ้งโซดา เกลือ และน้ำร้อนเทลงไปในท่อได้เลย ก็จะช่วยทำให้คราบไขมันที่ติดอยู่หลุดออกไปได้

6. ทำความสะอาดหม้อไหม้

ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดาอีกหนึ่ง คือ การที่สามารถช่วยทำความสะอาดหม้อที่ไหม้ได้ โดยทำได้ด้วยการนำเอาเบกกิ้งโซดาผสมเข้ากับน้ำอุ่น จากนั้นใส่ลงไปในหม้อที่ไหม้แล้วแช่ทิ้งไว้เป็นเวลาประมาณ 15-20 นาที หลังจากนั้นจึงค่อยนำมาขัดแล้วล้างออกได้ตามปกติ ก็จะได้หม้อในสภาพเดิมกลับมาอีกครั้ง

7. กำจัดกลิ่นในตู้เย็น

ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดาข้อสุดท้ายที่อยากนำมาแชร์กัน คือ เบกกิ้งโซดาสามารถช่วยกำจัดกลิ่นในตู้เย็นได้ ถือเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ที่ตู้เย็นที่ผ่านการแช่ของมากมายจะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ก่อกวนใจคุณแม่

บ้านมากมายแน่นอน แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา เพียงแค่นำเบกกิ้โซดาใส่ถ้วยเล็ก ๆ ไปตั้งไว้ในตู้เย็น เบกกิ้งโซดาก็จะทำหน้าที่ในการดูดซับกลิ่นให้หมดไปจากตู้เย็น ทั้งนี้ควรจะทำการเปลี่ยนเบกกิ้งโซดาใหม่ในทุก ๆ 2-3 เดือน

สรุปบทความ

benefit-of-baking-soda

จากที่กล่าวมานี้ก็เป็นประโยชน์ของเบกกิ้งโซดาที่เชื่อได้เลยว่าจะต้องถูกใจเหล่าคุณพ่อบ้านหรือคุณแม่บ้านมากแน่นอน เพราะเบกกิ้งโซดาสามารถช่วยแก้ปัญหาหลาย ๆ อย่างที่อยู่ในห้องครัวได้ และนี่ก็เป็นเคล็ดลับดี ๆ ที่นำมาฝากกัน

รวมประโยชน์เปลือกมะนาวสำหรับในครัวที่หลายคนไม่เคยรู้

รวมประโยชน์เปลือกมะนาว

เมื่อทำกับข้าวเสร็จแล้วเปลือกที่เหลืออยู่เราก็มักจะทิ้งกัน แต่ในกรณีของเปลือกมะนาวที่ต้องบอกเลยว่าอย่าเพิ่งทิ้งเด็ดขาด โดยหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้วเปลือกมะนาวนั้นมีประโยชน์และนำมาใช้ได้หลากหลายอย่างมาก ๆ ซึ่งคุณพ่อบ้านและคุณแม่บ้านทั้งหลายไม่ควรพลาดเลย แล้วประโยชน์เปลือกมะนาวจะมีอะไรบ้าง ในบทความนี้จะมาแชร์เคล็ดลับให้ได้ทราบและนำไปปรับใช้กัน

ประโยชน์เปลือกมะนาวที่หลายคนไม่เคยรู้

ประโยชน์เปลือกมะนา

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าหลังจากที่คั้นน้ำมะนาวจนหมดแล้วไม่ควรที่จะทิ้งเปลือกมะนาวไปก่อนเลย เนื่องจากว่าประโยชน์เปลือกมะนาวนั้นก็มีอยู่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะการใช้ในการทำงานบ้านและช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เปลือกมะนาวสามารถช่วยได้ ซึ่งประโยชน์ของเปลือกมะนาวก็มีดังต่อไปนี้

1. ทำความสะอาดและดับกลิ่นไมโครเวฟ

ประโยชน์เปลือกมะนาวข้อแรกเลย ก็คือ การที่เปลือกมะนาวสามารถนำมาใช้ในการทำความสะอาดและดับกลิ่นเครื่องครัวยุโรปอย่างไมโครเวฟได้ โดยวิธีการก็ง่าย ๆ เพียงแค่นำน้ำใส่ลงในเปลือกมะนาวเล็กน้อย จากนั้นนำไปเข้าในไมโครเวฟที่ใช้งานอยู่เป็นประจำ เวฟเป็นเวลา 2 นาที เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยกำจัดกลิ่นในไมโครเวฟได้แล้ว อีกทั้งเมื่อเวฟเสร็จสามารถนำมาใช้ในการทำความสะอาดได้ด้วย ซึ่งเมื่อเช็ดด้วยเปลือกมะนาวแล้วก็ค่อยล้างด้วยน้ำเปล่าตามอีกรอบ

2. ใช้ทำความสะอาดเครื่องครัวสเตนเลส

ประโยชน์ข้อต่อมาของเปลือกมะนาว ก็คือ การที่สามารถนำมาใช้สำหรับทำความสะอาดเครื่องครัวสเตนเลสได้ โดยวิธีการก็สามารถทำได้ด้วยการนำเอาเปลือกมะนาวมาขัดไปที่กะละมัง ช้อน หรือว่าหม้อสเตนเลสได้เลย เมื่อขัดเรียบร้อยแล้วก็ค่อยล้างทำความสะอาดอีกที ซึ่งกรดอ่อน ๆ ของมะนาวนี้เองจะสามารถช่วยให้สเตนเลสมีความเงางามมากขึ้นได้

3. ล้างคราบไขมันในกล่องพลาสติก

ประโยชน์ข้อถัดมาของเปลือกมะนาว คือ การที่สามารถช่วยล้างคราบไขมันในกล่องพลาสติกได้ โดยวิธีการก็สามารถทำได้ด้วยการนำเอาเกลือและเปลือกมะนาวใส่ลงไปในกล่องพลาสติกที่มีความมัน จากนั้นเติมน้ำเปล่าธรรมดาหรือว่าจะเป็นน้ำอุ่นก็ได้ลงไปเล็กน้อย เสร็จแล้วก็ปิดฝาแล้วเขย่าได้เลย หลังจากนั้นก็สามารถนำไปทำความสะอาดได้ปกติเลย เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คราบมันในกล่องพลาสติกหลุดออกไปได้แล้ว

4. ทำความสะอาดซิงค์ล้างจาน

นอกจากนั้นแล้วเปลือกมะนาวยังสามารถนำมาใช้สำหรับการทำความสะอาดซิงค์ล้างจานได้ด้วย โดยวิธีการก็คือ ให้นำเอาเกลือมาโรยลงในซิงค์ล้างจานเล็กน้อย จากนั้นนำเปลือกมะนาวมาขัดและถูไปรอบ ๆ ก็จะสามารถช่วยขจัดคราบ สิ่งสกปรกต่าง ๆ และยังช่วยขจัดกลิ่นที่อยู่ในซิงค์ล้างจนได้ด้วย

5. ดับกลิ่นในถังขยะ

หากว่าบ้านไหนประสบปัญหาเกี่ยวกับกลิ่นขยะจากถังขยะที่แรงมาก ๆ แม้จะทิ้งขยะไปแล้วก็ตาม ก็สามารถใช้เปลือกมะนาวในการแก้ปัญหาได้เลย โดยให้นำเอาเปลือกมะนาวใส่ลงไปในถังขยะ ปิดทิ้งไว้อย่างนั้น ก็จะช่วยให้กลิ่นเหม็นของถังขยะที่มีลดลงไปได้ และเป็นการช่วยกำจัดเชื้อโรคได้อีกด้วย

6. กำจัดกลิ่นในตู้เย็น

อีกหนึ่งประโยชน์เปลือกมะนาวเลย คือ การที่สามารถช่วยกำจัดกลิ่นในตู้เย็นได้ แน่นอนว่าตู้เย็นที่มีผ่านการแช่ทั้งของสด ของแห้ง หรือว่าทุก ๆ สิ่งที่สามารถแช่ได้ ก็ย่อมมีกลิ่นเกิดขึ้นตีกันไปหมด การที่จะสามารถกำจัดกลิ่นได้สามารถทำได้ด้วยการใช้เปลือกมะนาว โดยให้นำเอาเปลือกมะนาวไปวางไว้ในตู้เย็นที่มีการใช้งานอยู่เป็นประจำก็จะช่วยลดกลิ่นลงได้ หรือว่าอยากให้สามารถช่วยลดกลิ่นได้ดีมากขึ้น ก็แนะนำว่าให้ทำการเอาสำลีไปชุบน้ำมะนาววางไว้ในตู้เย็นพร้อมกับเปลือกมะนาว ก็จะช่วยให้กลิ่นจางลงได้ไวมากขึ้น

7. กำจัดคราบชาและกาแฟ

การช่วยกำจัดคราบชาและกาแฟ เป็นประโยชน์เปลือกมะนาวที่หลายคนน่าจะไม่รู้หรือคาดไม่ถึงมาก่อนว่าสามารถช่วยได้อย่างไร โดยหากพบว่าแก้วที่บ้านมีคราบของกาแฟหรือว่าชาติดอยู่ ก็สามารถใช้เปลือกมะนาวใน

การช่วยกำจัดคราบได้ ซี่งจะต้องใส่เปลือกมะนาวของในแก้ว เติมน้ำร้อนตามลงไป จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วจึงค่อยเทน้ำออกจากแก้ว หลังจากนั้นก็จะสามารถทำความสะอาดแก้วได้ตามปกติเลย และจะพบเลยว่าคราบที่ติดอยู่ได้หายไปแล้ว

สรุปบทความ

benefit-of-lime-peel

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้เลยว่าจริง ๆ แล้วประโยชน์เปลือกมะนาวนั้นมีอยู่ไม่น้อยเลย อีกทั้งวิธีการในการใช้เปลือกมะนาวก็ยังทำได้ไม่ยากเลยด้วย ซึ่งสำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับงานบ้านในเรื่องไหนอยู่ก็สามารถทำตามได้จากวิธีที่แนะนำให้ได้เลยนั่นเอง

วิธีหุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟ ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก

วิธีหุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟ

นอกจากข้าวจะเป็นอาหารสิ่งที่สำคัญกับสำหรับการกินอาหารของคนไทยแล้ว ข้าวเหนียวเองก็จัดว่ามีความสำคัญและได้รับความนิยมมากไม่แพ้ข้าวสวยเลย เนื่องจากว่าข้าวเหนียวให้พลังงานมากกว่าและสามารถช่วยให้อิ่มท้องได้นานกว่า อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้การหุงข้าวเหนียวไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป เพราะสามารถหุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟได้แล้ว สำหรับที่อยู่หอก็สามารถทำตามได้เลยง่าย ๆ แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกัน

หุงข้าวเหนียวต้องเตรียมอะไรบ้าง

หุงข้าวเหนียวต้องเตรียมอะไรบ้าง

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าปัจจุบันนี้การหุงข้าวเหนียวไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะสามารถทำได้ด้วยการใช้ไมโครเวฟ โดยในการหุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟก็มีอุปกรณ์สำคัญหลายอย่างที่ต้องจัดเตรียม ซึ่งอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมก็มีดังต่อไปนี้

  • ข้าวเหนียว (แนะนำเป็นข้าวเหนียวเขี้ยวงู)
  • ถ้วยที่จะใช้สำหรับตวงข้าว (ในส่วนนี้จะใช้เป็นถ้วยอะไรแบบไหนก็ได้หมด)
  • ภาชนะที่สามารถนำเข้าไมโครเวฟได้ (ควรจะเลือกภาชนะที่มีขนาดกำลังดี ที่จะสามารถใส่ได้เพียงพอต่อปริมาณของน้ำและข้าวเหนียว รวมถึงจะต้องเพียงพอสำหรับการที่น้ำจะเดือด เพราะหากว่าภาชนะเล็กไปก็จะทำให้น้ำล้นออกมาจากภาชนะได้ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรเป็นภาชนะที่ใหญ่มากไปเนื่องจากทำให้คุมอุณหภูมิในการนึ่งข้าวเหนียวได้ยากมากขึ้น)

ขั้นตอนหุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟ

ขั้นตอนหุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟ

มาถึงในส่วนของขั้นตอนในการหุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟกันบ้าง โดยในการหุงข้าวเหนียวจากไมโครเวฟก็มีขั้นตอนที่สำคัญดังต่อไปนี้

  • ก่อนอื่นให้ทำการตวงข้าวเหนียวในอัตรา 1:1 โดยให้ใช้ถ้วยตวงที่จัดเตรียมเอาไว้ จากนั้นใส่น้ำลงไปในปริมาณที่เท่ากับข้าวเหนียว แต่ทั้งนี้อาจจะต้องทดน้ำสักเล็กน้อย เพื่อไม่ให้มีน้ำมากจนเกินไป อาจจะใช้น้ำแค่ประมาณ 5 ช้อนกินข้าวก็เพียงพอแล้ว
  • จากนั้นให้แช่ข้าวเหนียวเอาไว้ในน้ำเป็นเวลา 1 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้นก็ได้ แต่หากว่าต้องรีบนึ่งจริง ๆ ก็แนะนำว่าทิ้งไว้ให้ได้อย่างน้อย 20-30 นาทีก็ได้เช่นกัน ซึ่งการแช่ข้าวเหนียวไว้ก่อนจะเป็นการช่วยให้ข้าวเหนียวหุงง่ายมากขึ้น หุงแล้วเมล็ดสวย และไม่แข็งกระด้าง
  • เมื่อถึงเวลาหุงข้าวเหนียวแล้วก็ให้ทำการปิดฝาภาชนะเอาไว้ เช่น การใช้ฟลอยด์ โดยจะต้องเจาะรูเล็ก ๆ เอาไว้ด้วย
  • ต่อมาก็สามารถนำภาชนะที่มีข้าวเหนียวข้าวไมโครเวฟได้เลย โดยให้ตั้งอุณหภูมิในการหุงข้าวเหนียวเอาไว้ที่ไฟแรงสูงสุดเลย หรือที่กำลังไฟ 1,000 วัตต์ และให้ตั้งเวลาครั้งแรก 3 นาที
  • หลังจากที่ครบ 3 นาทีแล้วให้นำภาชนะออกมาเปิดฝาแล้วใช้ช้อนคนเบา ๆ ต่อมาจึงนำกลับเข้าไปในไมโครเวฟอีกครั้งเพื่อทำการหุงในรอบต่อไปด้วยกำลังไฟแรงสุดอีก 3 นาที แล้วเอาออกมาคนใหม่อีกรอบ
  • เมื่อคนเรียบร้อยแล้วในรอบที่สองให้นำกลับเข้าไปในไมโครเวฟอีกครั้งเพื่อหุงครั้งที่ 3 โดยให้ใช้ไฟกลาง แล้วเวฟต่อไปเป็นเวลา 1 นาที ทั้งนี้หากว่าเวฟแล้วรู้สึกว่าข้าวเหนียวยังมีความเปียกอยู่ก็สามารถเอาเข้าไปหุงได้อีกด้วยไฟกลางครั้งละ 30 วินาทีจนกว่าจะได้ข้าวเหนียวแบบที่พอใจ
  • จากนั้นก็เป็นอันเสร็จสามารถนำมากินได้เลย แต่หากว่าต้องการเก็บไว้ในภาชนะหรือกระปุกก่อน ก็แนะนำว่าผึ่งข้าวเหนียวเอาไว้ให้คลายความร้อนก่อนสักครู่ แล้วค่อยปิดฝา ก็จะช่วยให้เก็บข้าวเหนียวได้นาน

หุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟต้องระวังอะไรบ้าง

หุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟต้องระวังอะไรบ้าง

ในการหุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ยากนัก แต่ก็มีเรื่องให้ต้องระวังอยู่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของการแช่ข้าวเหนียวที่จะต้องไม่ลืมเด็ดขาด เพราะการหุงข้าวเหนียวที่ไม่ได้ผ่านการแช่น้ำนั้นแม้จะสามารถทำได้แต่ข้าวเหนียวที่ได้อาจจะไม่ออกมาดีเท่าที่ควร ก่อนการหุงจึงต้องแช่น้ำเอาไว้อย่างน้อย 20-30 นาที นอกจากนั้นในการหุงข้าวเหนียวก็ไม่ควรใช้อุณหภูมิที่แรงจนเกินไป เนื่องจากว่าอาจจะทำให้ข้าวเหนียวไหม้และไม่สุกได้ รวมถึงควรเอาข้าวเหนียวออกมาคนทุกครั้ง เพื่อเป็นการช่วยให้ข้าวเหนียวสุกทั่วกันทั้งหมด

สรุปบทความ

สำหรับเครื่องครัวยุโรปอย่างไมโครเวฟก็นับว่าเป็นเครื่องครัวที่สารพัดประโยชน์และสามารถทำได้หลากหลายอย่างมาก ๆ แม้กระทั่งการหุงข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ไม่ยาก ซึ่งหากว่าใครอยากจะกินข้าวเหนียวมาก ๆ แต่ไม่มีอุปกรณ์นึ่ง ก็ไม่ต้องไปหาซื้อให้ยุ่งยากเพียงแค่มีไมโครเวฟก็สามารถทำได้แล้ว ในส่วนของการวิธีการทำก็ทำตามจากที่บอกไปในข้างต้นได้เลย รับรองว่าได้ข้าวเหนียวที่นุ่มอร่อยแน่นอน

วิธีเจียวกระเทียมให้กรอบนาน หอมอร่อยได้ทั้งวัน

วิธีเจียวกระเทียมให้กรอบนาน หอมอร่อยได้ทั้งวัน

เมื่อพูดถึงกระเทียมเจียวก็เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำอาหารไทยหลาย ๆ อย่าง แบบชนิดที่ว่าขาดไปแล้วรสชาติอาจจะอร่อยน้อยลงเลย ด้วยความหอมและความกรอบที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทำให้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนชื่นชอบกันมาก ๆ แต่การเจียวกระเทียมให้อร่อยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะการเจียวให้มีความเหลืองกรอบนาน ๆ ในบทความนี้จึงได้นำเอาวิธีเจียวกระเทียมให้กรอบนานมาฝากกัน

ควรใช้กระเทียมแบบไหน

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่ากระเทียมเจียวนั้นเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่ออาหารหลากหลายเมนูมาก ๆ ดังนั้นการเจียวกระเทียมให้ออกมาดีและกรอบจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะหากว่าทำได้ดีกระเทียมเจียวก็จะช่วยให้อาหารมีความหอมและน่ากินมากยิ่งขึ้น โดยในการทำกระเทียมเจียวก็ควรเลือกใช้กระเทียมที่มีกลีบเล็กอย่างกระเทียมไทย เนื่องจากว่ามีกลิ่นและรสชาติที่ดีกว่ากระเทียมจีน 

ควรใช้กระเทียมแบบไหน

ในการนำเอากระเทียมไทยมาใช้ก็สามารถใช้ทั้งเปลือกเพื่อเป็นการช่วยเพิ่มความหอมของกระเทียมเจียวให้มากขึ้น แต่ก่อนนำไปเจียวก็ควรทุบให้แหลกและนำเอาเปลือกที่แข็งออกสักหน่อย ที่สำคัญก่อนการนำกระเทียมมาใช้ก็อย่าลืมล้างให้สะอาด นำมาเช็ดให้แห้งเพื่อที่จะช่วยให้ทอดแล้วไม่กระเด็น 

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับเจียวกระเทียม

ในการทำกระเทียมเจียวนั้น เรื่องของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำก็ไม่ได้เยอะมากมาย และเป็นสิ่งที่สามารถหาได้ง่าย ๆ ตามแต่ละบ้านเลย โดยอุปกรณ์ที่สำคัญในการทำกระเทียมเจียวก็มีดังต่อไปนี้

  • กระเทียมไทย หรือกระเทียมจีน
  • ครกและสาก (ใช้สำหรับตำกระเทียม)
  • กระทะ (ใช้สำหรับเจียวกระเทียม)
  • เกลือ
  • น้ำมัน
  • กระชอน

ขั้นตอนเจียวกระเทียมให้กรอบนาน

ขั้นตอนเจียวกระเทียมให้กรอบนาน

การทำกระเทียมเจียวนั้นจะดูเหมือนว่าง่ายแต่ก็ไม่ได้ง่ายมากขนาดนั้น เพราะว่าหากใช้ไฟแรงในการเจียวก็อาจจะทำให้กระเทียมเจียวไหม้ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ว่าจะนำมาใช้ทำอาหารอะไรก็จะส่งผลให้ความอร่อยของอาหารน้อยลงทันที อีกทั้งในการเจียวกระเทียมนอกจากที่จะต้องสีเหลืองสวยและไม่ไหม้แล้ว ก็ควรที่จะต้องเจียวให้กระเทียมออกมากรอบน่ากินด้วย โดยวิธีเจียวกระเทียมให้กรอบนานก็สามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • เลือกใช้เป็นกระเทียมไทยจะทำให้กระเทียมมีความกรอบและหอมมากกว่า
  • ก่อนนำกระเทียมมาใช้ทุกครั้งจะต้องทำการล้างกระเทียมให้สะอาดก่อน จากนั้นสะเด็ดน้ำไว้ให้หมาด
  • เมื่อสะเด็ดน้ำแล้วให้นำเอาผ้าหรือทิชชูมาซับให้กระเทียมแห้งลงสักหน่อยก่อนที่จะนำมาโขลก
  • นำกระเทียมที่ได้มาโขลกให้ละเอียด หรือหากว่าต้องทำให้ปริมาณที่เยอะมาก ๆ ก็สามารถใช้วิธีการปั่นกระเทียมให้ละเอียดแทนได้
  • ตั้งกระทะแล้วใส่น้ำมันแล้วใส่กระเทียมลงไป ในส่วนนี้ควรใส่กระเทียมในกระทะตั้งแต่ยังไม่ได้จุดเตาแก๊สหรือเปิดเตาไฟฟ้า
  • ใส่เกลือลงไปในเล็กน้อย เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มรสชาติและเป็นการช่วยให้น้ำมันไม่กระเด็น
  • ในการเจียวกระเทียมจะต้องใช้ไฟกลางค่อนไปจนถึงในระดับที่อ่อนเลย โดยในระหว่างที่เจียวกระเทียมก็ควรใช้ตะหลิวคนอยู่เรื่อย ๆ ก็จะช่วยให้ความร้อนสามารถกระจายไปได้อย่างทั่วถึง และสุกพร้อม ๆ กัน
  • หากว่าเจียมกระเทียมไปเรื่อย ๆ จนมีสีเหลืองทองแล้วก็ให้ปิดเตาแล้วตักพักไว้ได้เลย การทำเช่นนี้จะช่วยให้กระเทียมไม่ไหม้ มีกลิ่นหอม และสามารถกรอบได้นาน
  • ควรพักกระเทียมไว้ให้อยู่ในอุณหภูมิที่เย็นลง จากนั้นจึงค่อยนำไปใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ก็จะช่วยให้กระเทียมกรอบได้นานมากยิ่งขึ้น

ขั้นตอนเจียวกระเทียมด้วยหม้อทอดไร้น้ำมัน

ขั้นตอนเจียวกระเทียมด้วยหม้อทอดไร้น้ำมัน

แน่นอนว่าวิธีเจียวกระเทียมให้กรอบนานนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยใช้เตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้า อย่างไรก็ตามบางคนอาจจะไม่สะดวกเนื่องจากอะไรหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะเด็กพอที่ทำกับข้าวด้วยเตาไม่ได้ การใช้หม้อทอดน้ำมันจึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์กว่า ซึ่งนั่นก็รวมถึงวิธีการเจียมกระเทียมด้วยที่สามารถใช้หม้อทอดไร้น้ำมันในการทำได้ โดยวิธีการก็ไม่อยากสามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้

  • เริ่มจากการทุบหรือว่าสับกระเทียมให้มีความละเอียด จากนั้นก็นำไปใส่ในด้วยที่มีน้ำมันพืชอยู่ด้วย
  • เมื่อใส่ทั้งน้ำมันพืชและกระเทียมลงไปในถ้วยเดียวกันแล้ว ให้คลุกเคล้ากระเทียมให้ทั่ว
  • นำถ้วยกระเทียมใส่เข้าไปในหม้อทอดไร้น้ำมัน โดยในการทอดรอบแรกจะต้องใช้ไฟในอุณหภูมิที่ 160 องศาเซลเซียส ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที
  • ทอดอีกครั้งรอบสองด้วยไฟที่อุณหภูมิที่ 160 องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ 2-3 นาที
  • จากนั้นก็สามารถตักใส่ถ้วยหรือภาชนะอื่น ๆ ได้เลย เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นขั้นตอนในการทำกระเทียมเจียวด้วยหม้อทอดไร้น้ำมันแล้ว

สรุปบทความ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีเจียวกระเทียมให้กรอบนานที่อยากจะเอามาแชร์ให้กับหลายคนได้ทราบกัน โดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องใช้กระเทียมเจียวเยอะ ๆ ในการทำอาหาร หรือจะเป็นกลุ่มคนที่เป็นสายกระเทียมเลิฟเวอร์ให้ได้ไปฝึกฝีมือทำกระเทียมเจียวกินเอง บอกเลยว่าวิธีการไม่ยุ่งยากและสามารถทำได้ง่าย ๆ แน่นอน

ไขข้อสงสัยไข่ออนเซ็นและไข่ลวกต่างกันยังไง

ไขข้อสงสัยไข่ออนเซ็นและไข่ลวกต่างกันยังไง

เมนูอาหารที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้มีความหลากหลายมาก ๆ หากจะถามถึงเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมและกินง่ายมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น เมนูไข่ ที่หากคิดเมนูที่จะกินไม่ออกแค่มีไข่ก็สามารถรังสรรค์เมนูที่หลากหลายได้แล้ว โดยไข่ก็สามารถนำมาทำได้หลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นก็คือ การทำเป็นไข่ออนเซ็นกับไข่ลวก ซึ่งไข่ออนเซ็นและไข่ลวกนั้นดูเหมือนจะคล้ายกัน แต่ความจริงมีความแตกต่างกันอยู่ ในบทความนี้จะมาช่วยไขข้อข้องใจกัน

ความแตกต่างระหว่างไข่ออนเซ็นและไข่ลวก

เมื่อพูดถึงไข่ออนเซ็นกับไข่ลวกผู้คนไม่น้อยเลยที่คิดว่าไข่สองประเภทนี้คือไข่ที่เหมือนกัน หรือเป็นชนิดเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันที่ชื่อเรียก ความจริงแล้วไข่ทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างกันอยู่ และมีวิธีการต้มที่ไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นเราจะมาไขข้อข้องใจในเรื่องนี้กันถึงความต่างและวิธีการต้มไข่ที่ถูกต้อง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ไข่ออนเซ็น

ความแตกต่างระหว่างไข่ออนเซ็นและไข่ลวก

ลักษณะของไข่ออนเซ็น

มาเริ่มกันที่ไข่ออนเซ็นกันก่อน โดยไข่ออนเซ็นจะเป็นไข่ที่มาจากชาวญี่ปุ่นที่จะนำเอาไข่ใส่ลงไปในถุงตาข่าย จากนั้นจะนำไข่ไปแช่ไว้ในน้ำของบ่อน้ำพุร้อนหรือว่าบ่อออนเซ็น ด้วยความร้อนของน้ำจะทำให้ไข่ค่อย ๆ สุก แต่ทั้งนี้จะเป็นการต้มไปเรื่อย ๆ ด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเดือด หรือเรียกง่าย ๆ ว่าต้มด้วยน้ำที่อุ่นเป็นระยะเวลานานนั่นเอง จึงทำให้ได้ออกมาเป็นไข่ออนเซ็นที่มีลักษณะ ไข่ขาวจะมีความเหลวและนิ่ม ในส่วนของไข่แดงจะเป็นไตและมีความหนึบ

วิธีทำไข่ออนเซ็น

มาถึงในส่วนของวิธีการทำไข่ออนเซ็นกันบ้าง โดยการต้มไข่ออนเซ็นที่ถูกต้องและช่วยให้ได้ออกมาเป็นไข่ออนเซ็นจริง ๆ ก็สามารถทำได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • ก่อนการนำไข่มาต้มจะต้องนำไข่ไปแช่ไว้ในตู้เย็นก่อนเป็นเวลา 20 นาที
  • จากนั้นตั้งหม้อที่ใส่น้ำให้เดือดจัด เมื่อน้ำเดือดจัดแล้วปิดไฟ 
  • นำไข่ที่อยู่ในตู้เย็นออกมาแช่ไว้ในน้ำที่ต้มไว้แล้วเป็นเวลาประมาณ 13 นาที
  • เมื่อครบเวลาแล้วให้นำไข่ออกมาจากน้ำและนำไปแช่ไว้ในน้ำอุณหภูมิห้องแทน ก็จะช่วยให้ได้ไข่ออนเซ็นแล้ว

ไข่ลวก

onsen-eggs-vs-poached-eggs

ลักษณะของไข่ลวก

ไข่ประเภทต่อมาก็คือ ไข่ลวก เป็นไข่รูปแบบหนึ่งที่คนไทยนิยมกินกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในร้านที่ขายกาแฟโบราณด้วยแล้วก็จะนิยมกินกันบ่อยมาก ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีการสั่งไข่ลวกมากินคู่กับกาแฟนั่นเอง บอกเลยว่าเข้ากันแบบสุด ๆ สำหรับลักษณะของไข่ลวกนั้น ไข่แดงและไข่ขาวจะมีความเหลว นิ่ม และไข่ขาวกับไข่ขาวจะยังไม่สุกดี มีลักษณะเป็นน้ำ ๆ อยู่

วิธีทำไข่ลวก

การทำไข่ลวกนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ไม่ยากเช่นกัน เพื่อให้ได้ไข่ลวกที่ถูกต้องและเป็นไข่ลวกจริง ๆ ก็สามารถทำตามได้จากวิธีการดังต่อไปนี้

  • เปิดเตาแก๊สตั้งหม้อ และใส่น้ำลงไปในหม้อ โดยจะต้องต้มน้ำให้เดือดจัด ให้ใส่เกลือลงไปในน้ำด้วย
  • เมื่อน้ำเดือดจัดแล้วให้นำไข่ลงไปต้มเป็นเวลา 2-3 นาทีเท่านั้น 
  • หากว่าต้มจนครบเวลาแล้วให้รีบเอาขึ้นจากน้ำ และนำไข่มาตอกใส่แก้วหรือถ้วยที่เตรียมไว้ได้เลย
  • เหยาะซอสปรุงรสและพริกไทยลงไปสักหน่อย เพียงเท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว

สรุปบทความ

อย่างไรก็ตามแม้ว่าไข่ออนเซ็นกับไข่ลวกจะดูเหมือนว่ามีลักษณะที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกันมาก ๆ แต่หากดูดี ๆ หรือได้ลองกินก็จะรู้สึกได้เลยถึงความแตกต่างของไข่ทั้งสองประเภท ซึ่งหากว่าใครที่ชื่นชอบการกินไข่ทั้งสองแบบนี้และอยากที่จะลองต้มกินเอง ก็สามารถทำตามวิธีที่แนะนำไว้ในข้างต้นได้เลย

9 เมนูหน้าหนาว อร่อยฟินอิ่มอุ่นทั้งบ้าน

9 เมนูหน้าหนาว อร่อยฟินอิ่มอุ่นทั้งบ้าน

เข้าสู่หน้าหนาวทีไรต้องบอกเลยว่าแต่ละคนอยู่ไม่สุกแน่นอน เพราะอากาศที่หนาวเย็นเป็นอะไรที่ยากจะต้านจริง ๆ แม้ว่าประเทศไทยของเราจะมีความหนาวไม่มากนักแต่ก็พอให้หนาวสะท้านได้ไม่น้อยเลย โดยเมื่อถึงหน้าหนาวแบบนี้นอกจากจะต้องหาเสื้อผ้ากันหนาวมาใส่เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายแล้ว อาหารการกินเองก็ช่วยคลายความหนาวได้เช่นกัน ในบทความนี้จึงนำเอา 9 เมนูหน้าหนาวที่จะช่วยคลายความหนาวมาแนะนำกัน

รวมสูตรเมนูหน้าหนาว

หน้าหนาวมาเยือนแล้วแบบนี้ การเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะการที่ต้องเจอความหนาวมากไปอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายตามมาได้ การหาเสื้อผ้าหนา ๆ สามารถช่วยบรรเทาความหนาวได้ดี ในขณะเดียวกันเมนูหน้าหนาว หรือเมนูที่เหมาะในการกินช่วงหน้าหนาวเองก็ช่วยคลายความหนาวจากภายในร่างกายได้ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งเมนูที่เหมาะกับการกินในหน้าหนาวก็มีดังต่อไปนี้

1. ต้มยำทะเลน้ำข้น 

ต้มยำทะเลน้ำข้น

ต้มยำทะเลน้ำข้นกับช่วงหน้าจัดว่าเป็นสิ่งที่เข้ากันมากทีเดียว เพราะเป็นเมนูที่เผ็ดร้อนและสามารถสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายได้ แถมยังเป็นรสชาติที่คนไทยชื่นชอบกันมาก ๆ จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะได้รับความนิยม โดยเมนูต้มยำทะเลน้ำข้นก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูต้มยำทะเล

  • กุ้ง
  • หมึก
  • หอยลาย
  • เห็ดฟาง
  • ข่า
  • ตะไคร้
  • ใบมะกรูด
  • หอมแดง
  • ผักชีไทย
  • ผักชีฝรั่ง
  • รากผักชี
  • พริก
  • น้ำมะนาว
  • น้ำ
  • หัวกะทิ
  • เกลือ
  • น้ำปลา
  • น้ำพริกเผา
  • น้ำมันพริกเผา

ขั้นตอนการทำเมนูต้มยำทะเล

  • เริ่มจากการนำเห็ด ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด รากผักชี และหอมแดงมาล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย และหั่นตามขนาดที่ต้องการจัดเตรียมไว้
  • บีบน้ำมะนาวใส่ชาวเอาไว้ และทำการโขลกพริกให้ละเอียด
  • นำเอาหัวกุ้งและเปลือกกุ้งมาเผาให้มีเนื้อออกสีส้ม และให้มีกลิ่นที่หอมมากขึ้น
  • จากนั้นจุดเตา ตั้งหม้อพร้อมใส่น้ำ เมื่อน้ำเดือดแล้วให้ใส่หัวกุ้งและเปลือกกุ้งที่ผ่านการเผามาเรียบร้อยแล้วลงไป ต้มเป็นเวลา 5 นาที แล้วให้ตักออกเหลือเอาแค่น้ำซุป
  • ต่อมาจะต้องใส่เครื่องต้มยำ หรือสมุนไพรต่าง ๆ ที่จัดเตรียมไว้ลงในหม้อที่น้ำกำลังเดือดได้เลย รอสักพักก็ให้ใส่เห็ดฟางลงไป ซึ่งจะต้องเร่งไฟให้แรงเพื่อที่จะทำให้เห็ดสุก
  • ปรุงรสชาติด้วยน้ำปลา น้ำพริกเผา น้ำมันพริกเผา และเกลือ จากนั้นเร่งไฟให้แรงแล้วจึงใส่กุ้ง หอย และหมึกลงไป ในขั้นตอนนี้ห้ามคนเด็ดขาด เพราะจะทำให้กลิ่นคาว
  • รอจนเครื่องทะเลสุกได้ที่ เติมหัวกะทิลงไป คนเล็กน้อยและรอให้น้ำเดือดอีกครั้ง หลังจากนั้นเติมน้ำมะนาว ปิดไฟ ตักใส่ถ้วยและเสิร์ฟได้เลย

2. แกงส้มชะอมกุ้ง

แกงส้มชะอมกุ้ง

เมนูหน้าหนาวเมนูต่อมาที่อยากแนะนำเลย ก็คือ เมนูแกงส้มชะอมกุ้ง อีกหนึ่งเมนูเผ็ดร้อนสุดฮิตที่กินในหน้าหนาวสามารถเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายได้ดี โดยเมนูแกงส้มชะอมกุ้งก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของการทำไข่ชะอม

  • ไข่
  • ชะอมเด็ด
  • น้ำปลา
  • น้ำมันพืช (เอาไว้สำหรับทอด)

ส่วนผสมที่สำคัญของการทำน้ำแกงส้ม

  • พริกแกงส้ม
  • ปลานิล
  • กุ้งสด
  • ตะไคร้
  • น้ำมะขามเปียก
  • น้ำปลา
  • เกลือ
  • น้ำตาลมะพร้าว
  • น้ำซุป
  • เกลือ (ใส่น้ำเพื่อต้มปลา)

ขั้นตอนการทำเมนูแกงส้มชะอมกุ้ง

  •  เริ่มจากการตั้งหม้อที่มีน้ำให้เดือด ใส่เกลือและตะไคร้ลงไป เพื่อช่วยดับกลิ่นคาวให้กับปลานิล ซึ่งจะต้องต้มปลานิลประมาณ 5-10 นาที หากว่าสุกได้ที่แล้วตักปลาขึ้นมาแล้วนำมาแกะเอาแต่เนื้อ
  • เนื้อปลานิลที่แกะแล้วให้นำมาตำให้เนื้อปลาฟูขึ้น จากนั้นจึงใส่พริกแกงส้มลงไป แล้วตำให้เนื้อปลากับพริกแกงเข้ากันดี 
  • ต่อมาให้นำเอาไข่ตอกลงในถ้วย และใส่ชะอมลงไป ตีให้เข้ากันเติมน้ำปลาให้ได้รสชาติที่ต้องการ ต่อมาจึงตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมัน เพื่อทอดไข่ให้สุก เมื่อไข่ชะอมสุกดีแล้วให้นำมาหั่นเป็นชิ้นพักไว้
  • ต้มน้ำให้เดือด ใส่พริกแกงและเนื้อปลาที่ตำเอาไว้แล้วลงไป ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา น้ำตาลมะพร้าว และน้ำมะขามเปียก ตั้งต่อจนน้ำเดือดได้ที่ เมื่อได้รสชาติที่ชอบแล้วก็ใส่กุ้งลงไปต้มได้เลย รอจนกุ้งเปลี่ยนสี ใส่ไข่ชะอมลงไป ปิดไฟแล้วตักเสิร์ฟได้เลย

3. ซุปมิโซะ

ซุปมิโซะ

เมื่อพูดถึงซุปมิโซะก็ต้องบอกเลยว่าเหมาะเป็นอย่างมากสำหรับนำมากินเพื่อคลายความหนาว โดยเมนูซุปมิโซะก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูซุปมิโซะ

  • เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น 
  • เต้าหู้ญี่ปุ่นแบบนิ่ม
  • สาหร่ายวากาเบะ
  • น้ำสะอาด 
  • ปลาโอแห้ง (หรือ ผงปลาดาชิ)
  • ต้นหอมซอย 

ขั้นตอนการทำเมนูซุปมิโซะ

  • นำเต้าหู้ญี่ปุ่นมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ พักเตรียมเอาไว้
  • ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด ใส่ปลาโอแห้ง เต้าหู้ญี่ปุ่นที่หั่นไว้ และสาหร่ายวากาเบะ ต้มต่อจนส่วนผสมทั้งหมดเดือดได้ที่
  • น้ำที่ต้มจนเดือดแล้วให้ตักใส่ถ้วย เพื่อใช้ละลายเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น จากนั้นเมื่อละลายดีแล้วให้เทลงไปในหม้อ คนให้เข้ากัน ปิดไฟ ตักซุปมิโซะใส่ถ้วย โรยต้นหอมซอยเล็กน้อย เพียงแค่นี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว

4. ต้มเล้งแซ่บ

ต้มเล้งแซ่บ

ต้มเล้งแซ่บเมนูสุดแซ่บซี๊ดซ๊าดยอดฮิตที่ไม่ว่าใครกินก็ต้องติดใจ โดยเฉพาะกินในหน้าหนาวบอกเลยว่าฟินแบบสุด ๆ ซึ่งเมนูต้มเล้งแซ่บก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูต้มเล้งแซ่บ

  • กระดูกเล้ง
  • น้ำสะอาด
  • น้ำกระเทียมดอง
  • รากผักชี
  • หอมใหญ่
  • แครอท
  • เกลือ
  • ซุปหมูก้อน
  • น้ำตาลกรวด

ส่วนผสมที่สำคัญของเครื่องปรุง

  • น้ำปลา
  • พริกขี้หนูสวน
  • น้ำมะนาว
  • ต้นหอม
  • ผักชี
  • ผักชีฝรั่ง

ขั้นตอนการทำเมนูต้มเล้งแซ่บ

  • เริ่มจากการต้มน้ำซุปด้วยกระดูกเล้ง โดยเมื่อล้างเล้งสะอาดแล้วให้นำมาต้นน้ำทิ้ง 1 รอบ จากนั้นจึงค่อยต่อประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งจนสุก
  • ใส่ซุปก้อน น้ำกระเทียมดอง เกลือ น้ำตาลกรวด แครอท และหอมหัวใหญ่ ลงไปต้มพร้อมกันประมาณ 30 นาที และชิมให้ได้รสชาติที่ต้องการ
  • เมื่อกระดูกเล้งสุกได้ที่และได้รสชาติที่ชื่นชอบแล้ว ให้ตักกระดูกเล้งใส่ชาม จากนั้นตักน้ำซุปใส่ถ้วย ปรุงรสเพิ่มเติมด้วยพริกขี้หนู น้ำปลา และมะนาว พร้อมโรยต้นหอม ผักชี และผักชีฝรั่งลงไป เพียงแค่นี้ก็พร้อมรับความอร่อยแล้ว

5. เกี๊ยวน้ำซุปกระดูกหมู

ต้มเล้งแซ่บ

เมนูหน้าหนาวอีกหนึ่งเมนูที่เหมาะมาก ๆ กับช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ก็คือ เกี๊ยวน้ำซุปกระดูกหมู ซึ่งเกี๊ยวน้ำซุปกระดูกหมูก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูเกี๊ยวน้ำซุปกระดูกหมู

  • กระดูกเล้ง
  • กระดูกคาตั๊ง
  • รากผักชีบุบ
  • กระเทียมไทยบุบ
  • หัวไชเท้า
  • น้ำตาลกรวด
  • เกลือป่นหยาบ และเกลือสมุทร
  • พริกไทยเม็ดบุบพอแตก
  • ปลาหมึกแห้งย่างไฟ 
  • ซุปก้อน
  • น้ำเปล่า
  • ผักกวางตุ้งลวก
  • กระเทียมเจียว
  • พริกไทยป่น

ส่วนผสมที่สำคัญของการทำไส้เกี๊ยว

  • กุ้งขาวสับหยาบ
  • หมูบดติดมัน
  • ไข่ไก่
  • กระเทียมไทย
  • รากผักชี
  • พริกไทยป่น
  • ซอสปรุงรสฝาเขียว
  • น้ำตาลทราย
  • ซีอิ๊วขาว
  • ซอสหอยนางรม
  • น้ำมันงา
  • ต้นหอมซอย

ขั้นตอนการทำเมนูเกี๊ยวน้ำซุปกระดูกหมู

  • เริ่มจากการนำกระดูกมาล้างกับเกลือได้หลาย ๆ รอบ เพื่อลดกลิ่นคาว แล้วนำไปต้มในน้ำเดือดด้วยไฟแรง ในระหว่างที่ต้มควรหมั่นช้อนฟองออกเรื่อย ๆ
  • ใส่กระเทียม รากผักชี หัวไชเท้า ปลาหมึกแห้ง เกลือ น้ำตาลกรวด และพริกไทยบุบ แล้วปรับเป็นไฟกลาง เคี่ยวต่อไปอีกประมาณ 40 นาที
  • ในระหว่างที่ต้มน้ำซุปไปเรื่อย ๆ ให้ทำเกี๊ยวรอไว้เลย ด้วยการนำรากผักชี พริกไทย และกระเทียม ผสมเข้ากันกับหมูบด กุ้งสับ และไข่ไก่ ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย ซอสหอยนางรม ซอสปรุงรสฝาเขียว ซีอิ๊วขาว และน้ำมันงา
  • นวดให้ส่วนผสมเข้ากันและเหนียวมากขึ้น จากนั้นใส่ต้นหอมซอยลงไป แล้วนำไปแช่ช่องฟรีสไว้ก่อนเป็นเวลา 30 นาที
  • นำส่วนผสมของเกี๊ยวที่แช่ไว้ออกมาห่อกับแผ่นเกี๊ยวตามที่ต้องการ
  • ตั้งหม้อและใส่น้ำลงไป พร้อมกับใส่ซุปก้อน ปรุงรสเพิ่มเติมตามชอบ
  • ลวกเกี๊ยวและผักในน้ำที่ไม่เดือดมาก เมื่อสุกแล้วให้ตักใส่จาน นำมาคลุกกับกระเทียม เติมน้ำซุป โรยด้วยกระเทียมเจียวและพริกไทย ก็เสิร์ฟได้เลย

6. ซุปเนื้อตุ๋น

ซุปเนื้อตุ๋น

เดินทางมาถึงเมนูที่ 6 กันแล้วสำหรับเมนูที่เหมาะกับการกินในช่วงหน้าหนาว นั่นก็คือ เมนูซุปเนื้อตุ๋น ซึ่งซุปเนื้อตุ๋นก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูซุปเนื้อตุ๋น

  • เนื้อวัว
  • หอมใหญ่ 
  • อบเชย
  • โป๊ยกั้ก
  • เก๋ากี้
  • ข่า
  • รากผักชี
  • ผักชี
  • ผักชีฝรั่ง
  • ต้นหอม
  • ขึ้นฉ่าย
  • มะเขือเทศ
  • พริกแดงจินดา
  • พริกขี้หนูเขียว
  • เกลือ
  • น้ำมันหอย
  • ซีอิ๊วขาว
  • น้ำตาลมะพร้าว
  • น้ำมะนาว
  • น้ำเปล่า

ส่วนผสมที่สำคัญของการทำหอมเจียว

  • หอมแดงซอยบางๆ
  • เกลือ
  • น้ำมันพืช (สำหรับใช้เจียว)

ขั้นตอนการทำเมนูซุปเนื้อตุ๋น

  • เริ่มจากการนำเอาเนื้อวัวส่วนสะโพกมาหั่นให้เป็นชิ้นเตรียมเอาไว้ โดยควรหั่นให้ชิ้นค่อนข้างหนาและใหญ่สักหน่อย
  • ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด ใส่โป๊ยกั๊ก เก๋ากี้ อบเชย ข่า และร่างผักชี ต้มจนไปจนกว่าน้ำจะเดือดดี และมีกลิ่นหอม จึงค่อยใส่เนื้อวัวที่หั่นไว้ลงไป ในระหว่างที่ต้มต้องหมั่นช้นฟองออกเรื่อย ๆ เพื่อให้น้ำใส
  • ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ซีอิ๊วขาว และน้ำมันหอย ให้ได้รสชาติที่ต้องการ จากนั้นปรับไฟให้อ่อนลง ปิดฝาหม้อแล้วก็ตุ๋นเนื้อต่อเรื่อย ๆ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
  • เมื่อเนื้อถูกตุ๋นจนได้ที่แล้ว ให้มะเขือเทศ และหอมใหญ่ลงไป ตุ๋นรอไปอีกประมาณ 15-20 นาที
  • หลังจากนั้นเมื่อได้ที่แล้วก็สามารถตักใส่ถ้วย แล้วปรุงรสเพิ่มเติมด้วยพริก มะนาวได้เลย โรยหน้าด้วยผักชีและหอมเจียวนิดหน่อย เป็นอันพร้อมเสิร์ฟ

7. สุกี้ชาบูน้ำดำ

สุกี้ชาบูน้ำดำ

เมนูหน้าหนาวอีกหนึ่งเมนูที่ขาดไม่ได้เลยในช่วงอากาศหนาว นั่นก็คือ เมนูสุดฮิตอย่างสุกี้ชาบูน้ำดำ  ซึ่งสุกี้ชาบูน้ำดำก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของน้ำซุปเมนูสุกี้ยากี้ชาบูน้ำดำ

  • โชยุ
  • มิริน
  • สาเก
  • น้ำตาลทราย
  • น้ำเปล่าเล็กน้อย

วัตถุดิบของเมนูสุกี้ยากี้ชาบูน้ำดำ

  • เนื้อหมูสไลด์ / เนื้อวัวสไลด์
  • เบคอน
  • กุ้ง
  • เนื้อปลา
  • ไส้กรอก
  • ปูอัด
  • ลูกชิ้น
  • เต้าหู้ญี่ปุ่นเนื้อแข็ง
  • เห็ดหอมสด 
  • เห็ดเข็มทอง
  • วุ้นเส้น อุด้ง หรือ เส้นบุก
  • ไข่ไก่ (เกรดกินดิบได้)
  • ผักกาดขาว
  • ปวยเล้ง
  • แครอท
  • ข้าวโพดหวาน
  • กวางตุ้ง
  • หัวหอมใหญ่
  • ต้นหอมญี่ปุ่น

อุปกรณ์สำหรับทำสุกี้ยากี้ชาบูน้ำดำ

  • หม้อ หรือกระทะที่ก้นไม่ลึก
  • เตาไฟฟ้า หรือ เตาแก๊สแบบพกพา

ขั้นตอนการทำเมนูน้ำสุกี้ชาบูน้ำดำ

  • เริ่มจากการนำเอาน้ำตาลทราย สาเก โชยุ และมิรินมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วตั้งพักไว้ก่อน
  • เปิดเตาและตั้งหม้อน้ำด้วยไฟกลาง จากนั้นให้ใส่เนื้อหมู หรือว่าเนื้อวัวลงไปผัดกับหอมใหญ่และต้นหอม โดยให้ใช้เนื้อที่ติดมัน ผัดพอสุก มีกลิ่นหอม และมีน้ำมันออกมา
  • เติมน้ำซุปลงไปในหม้อเล็กน้อย แล้วผัดต่อไปอีกนิด จากนั้นนำน้ำซุปที่เหลือใส่ลงไป ใส่เนื้อสัตว์ ลูกชิ้น ตามด้วยผัก 
  • ต้มไม่ต้องนานเนื่องจากจะทำให้น้ำซุปเค็ม และสำหรับเนื้อวัว หรือหมูค่อยใส่ลงไปตอนที่จะกิน ก็จะทำให้ได้เนื้อที่สุกพอดี เมื่อเนื้อสุกแล้วค่อยนำมาชุบกับไข่ดิบเพื่อเพิ่มความอร่อย

สรุปบทความ

เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเมนูหน้าหนาวที่นำมาฝากกัน บอกเลยว่าแต่ละเมนูน่ากินแบบสุด ๆ แถมหากว่ากินในช่วงหน้าหนาวก็สามารถช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้เป็นอย่างดีแน่นอน หน้าหนาวใกล้เข้ามาแล้วสามารถนำเมนูที่แนะนำไว้ไปทำในช่วงหน้าหนาวที่จะถึงนี้ได้เลย

5 เมนูตำลึงทำง่าย ๆ ได้ประโยชน์เต็มจาน

5 เมนูตำลึงทำง่าย ๆ ได้ประโยชน์เต็มจาน

ตำลึง ผักริมรั้วที่ขึ้นอยู่บนรั้วบ้านแทบจะทุกบ้านเลยก็ว่าได้ เมื่อเป็นผักริมรั้วที่หลายคนคุ้นชินแบบนี้ก็อาจจะคิดว่ารู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้น่าสนใจมากมาย แต่ความจริงแล้วรู้หรือไม่ว่าตำลึงเป็นผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยรักษาเบาหวาน ช่วยย่อยอาหาร บำรุงสายตา หรือว่าช่วยเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกาย แถมยังนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนูด้วย ในบทความนี้จึงได้นำ 5 เมนูตำลึงพร้อมวิธีทำมาแนะนำกัน

รวมเมนูตำลึงน่ากิน อร่อยได้ประโยชน์

เมนูตำลึงที่ได้จากผักริมรั้วหน้าบ้าน แม้จะดูเป็นเมนูที่ดูแสนธรรมดาแต่ความจริงแล้วอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ที่สำคัญตำลึงยังเป็นผักที่สามารถนำมาใช้ทำเมนูได้หลากหลายด้วย แถมนำมาทำอาหารก็ดีต่อสุขภาพมากทีเดียว ซึ่งเมนูจากตำลึงที่อยากแนะนำให้ลองทำกันก็มีดังต่อไปนี้

1. แกงจืดตำลึงใส่หมูสับ

แกงจืดตำลึงใส่หมูสับ

มากันที่เมนูแรกจากตำลึงที่ไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องเคยทำกันทั้งนั้น นั่นก็คือ แกงจืดตำลึง โดยเมนูแกงจืดตำลึงก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูแกงจืดตำลึง

  • ตำลึง (เด็ดใบ)
  • หมูสับปรุงรส
  • เต้าหู้ไข่
  • เกลือป่น
  • กระเทียมเจียว
  • พริกไทยป่น
  • น้ำซุป

ขั้นตอนการทำเมนูแกงจืดตำลึง

  • เริ่มจากการนำน้ำซุปใส่ลงในหม้อ เปิดเตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้าตามสะดวก เพื่อต้มน้ำให้เดือด แต่จะต้องตั้งน้ำซุปด้วยไฟกลาง 
  • เมื่อน้ำเดือดแล้วให้ใส่หมูสับปรุงรสลงไป ใส่เต้าหู้ และตำลึง
  • กดตำลึงให้จมลงในน้ำซุป ปิดฝาหม้อ รอให้น้ำเดือดอีกครั้ง แล้วปิดไฟได้เลย
  • ตักแกงจืดตำลึงใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและพริกไทยป่นเล็กน้อย ก็เป็นอันพร้อมเสิร์ฟ

2. ตำลึงผัดไข่

ตำลึงผัดไข่

เมนูตำลึงเมนูต่อมาที่อยากแนะนำให้ไปลองทำตามกัน ก็คือ ตำลึงผัดไข่ โดยเมนูตำลึงผัดไข่ก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูตำลึงผัดไข่

  • ตำลึง (เด็ดใบ)
  • หมูสับ
  • ไข่ไก่
  • ซีอิ๊วขาว
  • น้ำมันหอย
  • น้ำตาลทราย
  • น้ำมัน
  • กระเทียมสับละเอียด

ขั้นตอนการทำเมนูตำลึงผัดไข่

  • เริ่มจากการตั้งกระทะ เปิดไฟให้ร้อน ใส่น้ำมันลงไป แล้วใส่กระเทียมสับละเอียดลงไปผัดให้หอม ตามด้วยหมูสับผัดจนสุก
  • จากนั้นเมื่อหมูสุกแล้วจึงค่อยตอกไข่ใส่ลงไป ยี ๆ ให้ทั่ว ใส่ตำลึงแล้วปรุงรสชาติตามใจชอบด้วย น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว และน้ำมันหอย 
  • ผัดต่อจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี ก็ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟได้เลย

3. ต้มเลือดใส่ตำลึง

ต้มเลือดใส่ตำลึง

ต้มเลือดใส่ตำลึง เมนูจากตำลึงที่เรียกได้ว่ายอดฮิตไม่แพ้กันเลย  โดยเมนูต้มเลือดใส่ตำลึงก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูต้มเลือดหมู

  • กระดูกหมู
  • ตับหมู 
  • หัวใจหมู 
  • เลือดหมู
  • กระเพาะหมู 
  • ไส้อ่อนและไส้ใหญ่หมู
  • ตำลึง (เด็ดใบ)
  • ตั้งฉ่าย
  • ต้นหอมกับผักชีซอย
  • กระเทียม 2 หัว
  • รากผักชี 2 ราก
  • พริกไทยเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยป่น
  • กากหมูกระเทียมเจียว
  • ซีอิ๊วขาว
  • พริกน้ำส้ม
  • พริกป่น
  • น้ำตาลทราย

ขั้นตอนการทำเมนูต้มเลือดหมู

  • เริ่มจากนำเอากระดูกหมูมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นใส่ลงไปในหม้อที่มีน้ำร้อนเดือด เพื่อต้มให้กระดูกหมูสุก ในการต้มให้ใส่กระเทียมบุบ รากผักชี และพริกไทยป่นลงไปด้วย
  • เมื่อน้ำเดือดแล้วให้ใส่ไส้ใหญ่หมูและกระเพาะหมูลงไป ต้มต่อไปประมาณ 1 ชั่วโมงหรือจนกว่าจะสุกและเปื่อย
  • ในระหว่างที่ต้มไส้ใหญ่หมูและกระเพาะหมู ให้นำเอาตับและหัวใจหมูมาแล่ให้เป็นชิ้นไม่หนามากนัก พร้อมกับหั่นเลือดหมูให้เป็นลูกเต๋า แล้วพักตั้งไว้
  • การเคี่ยวน้ำซุปจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง ในระหว่างที่เคี่ยวไปเรื่อย ๆ ควรหมั่นช้อนฟองออกด้วย เพื่อช่วยให้น้ำซุปใสน่ากิน 
  • เมื่อเตรียมทุกอย่างครบหมดแล้ว ให้นำเอาเครื่องในส่วนต่าง ๆ ของหมูที่ต้มไว้แล้ว หั่นแล้วใส่ลงไปในถ้วยได้เลย พร้อมกับใส่ตำลึงและตั้งฉ่ายลงไปด้วย ใส่กากหมูกระเทียมเจียวแล้วตักน้ำซุปที่ร้อน ๆ ลงไปในถ้วยได้เลย 
  • โรยหน้าด้วยผักชี ต้นหอม และพริกไทยป่น ก็พร้อมเสิร์ฟได้ทันที
  • ในการกินจะต้องกินคู่กับการปรุงรสด้วย น้ำตาลทราย น้ำปลา พริกน้ำส้ม และพริกป่น เพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากขึ้น

4. ยำตำลึง

ยำตำลึง

ยำตำลึงเป็นเมนูจากตำลึงที่เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นชินหรือยังไม่รู้จักกันมากนัก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่อร่อยทีเดียว โดยเมนูยำตำลึงก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูยำตำลึง

  • ตำลึง (เด็ดใบ)
  • หมูสับ
  • กุ้งแห้งทอดกรอบ
  • น้ำปลา
  • มะนาว
  • น้ำเชื่อม
  • พริกขี้หนูปั่น
  • กระเทียมปั่น
  • หอมแดงซอย
  • หอมแดงเจียว

ขั้นตอนการทำเมนูยำตำลึง

  • เริ่มจากการเปิดเตา ตั้งกระทะให้ร้อน จากนั้นใส่น้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำเดือดแล้วก็ให้ใส่หมูสับลงไปรวนจนสุกดีพร้อมปรุงรสด้วยน้ำปลา แล้วตักพักเอาไว้ก่อน
  • ใส่ตำลึงลงในกระทะ ผัดให้ตำลึงสุก ตักพักเอาไว้เช่นกัน
  • จัดเตรียมภาชนะในการทำยำ นำพริก กระเทียม น้ำปลา มะนาว น้ำเชื่อม และหอมแดงซอยลงในภาชนะ แล้วคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
  • สุดท้ายนำตำลึง และหมูสับที่เตรียมไว้ลงจาน ราดด้วยน้ำยำที่ทำไว้ โรยด้วยกุ้งแห้งทอด และหอมแดงเจียว เพียงเท่านี้ก็จัดเสิร์ฟได้เลย

5. ผัดตำลึงใส่หมูสับ

ผัดตำลึงใส่หมูสับ

มาถึงเมนูตำลึงเมนูสุดท้ายที่เอามาแนะนำกัน นั่นก็คือ เมนูผัดตำลึงใส่หมูสับ โดยเมนูผัดตำลึงใส่หมูสับก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูผัดตำลึงใส่หมูสับ

  • ตำลึง (เด็ดใบ)
  • หมูสับ
  • กระเทียม
  • พริก
  • ไข่ไก่
  • ซีอิ๊วขาว
  • น้ำปลา
  • น้ำตาล
  • ซอลหอยนางรม
  • น้ำมันพืช

ขั้นตอนการทำเมนูผัดตำลึงใส่หมูสับ

  • เริ่มจากการนำเอากระเทียมและพริกมาหั่นเตรียมไว้ นำตำลึงมาล้างให้สะอาดแล้วตั้งพักไว้
  • เปิดแก๊สตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันลงไป เจียวกระเทียมให้หอมจึงใส่หมูสับตามลงไปผัดพอสุกก็ตอกไข่ใส่ลงไปได้เลย
  • คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วใส่ใบตำลึง จากนั้นจึงปรุงรสได้ตามใจชอบด้วย น้ำปลา น้ำตาล ซีอิ๊วขาว และซอสหอยนางรม
  • เมื่อผัดทุกอย่างเข้ากันและสุกดีแล้ว ให้ใส่พริกลงไปผัดต่อ แล้วปิดไฟ ตักเสิร์ฟใส่จานได้เลย

สรุปบทความ

จากที่กล่าวไปทั้งหมดนี้ก็เป็นเมนูตำลึงที่อยากเอามาแนะนำให้ได้ไปลองทำตามกันดู บอกเลยว่าแต่ละเมนูนั้นทำไม่ยากอย่างที่คิดจะใช้เตาอบหรือ เตาไฟฟ้า ก็ทำตามได้ง่ายสุด ๆ แถมรสชาติอร่อย และที่สำคัญยังเป็นเมนูที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากด้วย ใครชื่นชอบตำลึงหรือเป็นสายรักสุขภาพก็ห้ามพลาดเลย

รวม 7 เมนูหมูกรอบง่ายๆ ทำเองได้ที่บ้าน

รวม 7 เมนูหมูกรอบง่ายๆ ทำเองได้ที่บ้าน

หากจะถามถึงอาหารยอดนิยมที่ผู้คนชื่นชอบกันมาก ๆ ก็จะต้องมีเมนูหมูกรอบติดอยู่ในลิสต์อาหารจานโปรดของใครหลาย ๆ คนแน่นอน ด้วยรสชาติที่ดีผสมผสานความกรอบที่กัดไปแล้วความอร่อยคลุ้งไปทั้งปาก จึงทำให้ใคร ๆ ต่างก็ติดใจและชื่นชอบเมนูหมูกรอบกันเป็นอย่างมาก อีกทั้งหมูกรอบยังนำมาทำหลากหลายเมนู ช่วยให้กินได้ฟิน ๆ แบบไม่มีเบื่อเลย

รวมเมนูหมูกรอบที่น่าสนใจ

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าหมูกรอบเป็นวัตถุดิบที่ดีในการทำอาหารเลย เนื่องจากว่าสามารถนำมาทำได้หลายเมนู แต่ละเมนูก็บอกเลยว่าอร่อยเป็นอย่างมาก ปัจจุบันนี้มีเมนูหมูกรอบให้เลือกกินกันมากมาย ในบทความนี้จึงอยากนำเอาเมนูจากหมูกรอบพร้อมวิธีการทำมาแนะนำกัน เพื่อแนวทางให้กับหลาย ๆ คนในการเลือกทำเมนูที่ได้จากหมูกรอบ

1. ผัดคะน้าหมูกรอบ

ผัดคะน้าหมูกรอบ

เมนูหมูกรอบเมนูแรกที่อยากแนะนำและเรียกได้ว่าเป็นเมนูยอดฮิตที่ใคร ๆ ก็ต้องชื่นชอบแน่นอน ก็คือ เมนูผัดคะน้าหมูกรอบ ซึ่งเมนูผัดคะน้าหมูกรอบก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูคะน้าหมูกรอบ

  • คะน้า
  • หมูกรอบ (หั่นชิ้น) 
  • พริกขี้หนูบุบพอแหลก
  • กระเทียมสับ
  • น้ำมันหอย
  • เต้าเจี้ยว
  • น้ำตาลทราย 
  • น้ำมันพืช (เอาไว้ใช้สำหรับผัด)

ขั้นตอนการทำเมนูผัดคะน้าหมูกรอบ

  • เริ่มจากการล้างผักคะน้าให้สะอาด จากนั้นพักให้สะเด็ดน้ำแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเตรียมเอาไว้
  • หลังจากนั้นเมื่อได้ผักคะน้าเรียบร้อยแล้วให้นำเอาคะน้า หมูกรอบ กระเทียมสับ พริกขี้หนู เต้าเจี้ยว น้ำตาลทราย และน้ำมันหอยที่จัดเตรียมไว้ใส่ลงในอ่างผสม เพื่อรอไว้สำหรับการนำมาผัดในขั้นตอนต่อไป
  • เปิดเตาแก๊สตั้งกระทะ เปิดไฟให้แรง จากนั้นใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ 
  • เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่แล้วให้ใส่ผักและส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงในกระทะได้เลย แล้วผัดจนพอสุกและส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน
  • ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

2. หมูกรอบผัดพริกเผา

หมูกรอบผัดพริกเผา

เมนูจากหมูกรอบเมนูต่อมาที่เรียกได้ว่าอร่อยลงตัวไม่แพ้กันเลยก็คือ หมูกรอบผัดพริกเผา โดยเมนูหมูกรอบผัดพริกเผาก็มีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูหมูกรอบผัดพริกเผา

  • หมูกรอบ (หั่นชิ้น) 
  • พริกแดงจินดา (หั่นชิ้น)
  • กระเทียมสับ
  • หอมใหญ่ (หั่นชิ้น)
  • ใบโหระพา
  • น้ำพริกเผา
  • น้ำตาลทราย
  • น้ำปลา
  • น้ำเปล่า
  • น้ำมันพืช (เอาไว้ใช้สำหรับผัด)

ขั้นตอนการทำเมนูหมูกรอบผัดพริกเผา

  • เริ่มจากการล้างผักทั้งหมด และหั่นผักรวมถึงหมูกรอบเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
  • จากนั้นจุดไฟตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืชลงไป เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ให้ใส่กระเทียม พริกแดงจินดา และหัวหอมที่หั่นเตรียมไว้แล้วลงไปผัดให้พอสุกและส่งกลิ่นหอม
  • ต่อมาให้ใส่หมูกรอบลงไปผัด แล้วปรุงรสชาติด้วยพริกเผา น้ำตาล น้ำปลา และเติมน้ำเปล่าเล็กน้อย
  • ผัดต่อจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน ใส่ใบโหระพา ผัดต่ออีกหน่อยจากนั้นก็ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟได้เลย

3. หมูกรอบคั่วพริกเกลือ

หมูกรอบคั่วพริกเกลือ

เมนูถัดไปเป็นอีกหนึ่งเมนูหมูกรอบที่หลายคนชื่นชอบเป็นอย่างมากแน่นอน นั่นก็คือ เมนูหมูกรอบคั่วพริกเกลือ โดยมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูหมูกรอบคั่วพริกเกลือ

  • หมูกรอบ (หั่นชิ้น) 
  • กระเทียมสับ
  • พริกแดงจินดาสับ
  • ต้นหอม (หั่นชิ้น) 
  • เกลือ
  • พริกไทย
  • น้ำตาลทราย
  • ซอสปรุงรสฝาเขียว

ขั้นตอนการทำเมนูหมูกรอบคั่วพริกเกลือ

  • เริ่มจากการจัดเตรียมส่วนผสมทั้งหมดไว้ให้เรียบร้อย 
  • จากนั้นตั้งกระทะ เปิดไฟให้กระทะพอร้อน นำหมูกรอบที่หั่นเตรียมไว้แล้วลงไปรวนแบบไม่ต้องใส่น้ำมัน
  • เมื่อรวนจนหมูกรอบเงาสวยแล้ว ให้ใส่กระเทียมสับ และพริกแดงจินดาสับลงไป แล้วผัดให้เข้ากัน
  • ต่อมาให้ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาลทราย พริกไทย และซอสปรุงรสฝาเขียว ชิมรสตามใจชอบ 
  • ผัดต่อจนส่วนผสมเข้ากัน ใส่ต้นหอมปิดท้าย และผัดต่ออีกนิด จากนั้นตักเสิร์ฟได้เลย

4. กะเพราหมูกรอบ

กะเพราหมูกรอบ

กะเพราหมูกรอบ เมนูยอดฮิตจากหมูกรอบที่ไม่ว่าจะไปร้านอาหารตามสั่งร้านไหนก็ต้องมีคนสั่งอยู่ตลอดแน่นอน โดยเมนูกะเพราหมูกรอบมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูผัดกะเพราหมูกรอบ

  • หมูกรอบ (หั่นชิ้น) 
  • ถั่วฝักยาว (หั่นชิ้น) 
  • ใบกะเพรา
  • น้ำปลา
  • น้ำตาลทราย
  • น้ำมันหอย
  • พริกขี้หนูสับ
  • กระเทียมสับ
  • น้ำซุปหรือน้ำเปล่า
  • น้ำมันพืช (เอาไว้ใช้สำหรับผัด)

ขั้นตอนการทำเมนูผัดกะเพราหมูกรอบ

  • เริ่มจากการสับกระเทียมและพริกไว้ให้เรียบร้อย รวมถึงการหั่นหมูกรอบและถั่วฝักยาวเป็นชิ้นเตรียมไว้
  • จากนั้นเปิดเตาแก๊สตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืชลงไป แล้วใส่พริกกับกระเทียมลงไปผัดให้หอม จึงใส่หมูกรอบตามลงไปแล้วผัดต่อจนพอร้อน
  • เติมน้ำซุปหรือว่าน้ำเปล่าลงไปนิดหน่อยเพื่อไม่ให้กระทะไหม้ แล้วใส่ถั่วฝักยาวลงไปผัดให้สุก
  • ต่อมาให้ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล และน้ำมันหอยจนได้รสชาติที่ชอบ สุดท้ายใส่ใบกะเพราลงไปผัดเล็กน้อย ก็ตักเสิร์ฟใส่จานได้เลย

5. ข้าวหมูกรอบ

ข้าวหมูกรอบ

ข้าวหมูกรอบ เมนูจากหมูกรอบยอดฮิตอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ว่าใครก็ต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน โดยเมนูข้าวหมูกรอบมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูข้าวหมูกรอบ

  • หมูกรอบ  (หั่นชิ้น) 
  • น้ำราดหมูกรอบ
  • ข้าวสวย
  • ไข่ต้ม
  • แตงกวา
  • ผักชี

ส่วนผสมที่สำคัญของน้ำราดหมูกรอบ

  • อบเชย
  • โป๊ยกั๊ก
  • ผงพะโล้
  • รากผักชีทุบพอแตก
  • แป้งเท้ายายม่อม
  • เหล้าจีน
  • น้ำมันงา
  • น้ำตาลปี๊บ
  • น้ำซุปหมู
  • เกลือป่น
  • พริกไทย
  • ซีอิ๊วขาว
  • งาขาวคั่ว
  • ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ

ขั้นตอนการทำน้ำราดหมูกรอบ

  • เริ่มจากการนำเอาผงพะโล้ อบเชย รากผักชี และโป๊ยกั๊กมาคั่วให้มีกลิ่นหอม
  • จากนั้นใส่น้ำตาลปี๊บลงไป รอให้ละลายและกลายเป็นสีที่เข้มขึ้น
  • ต่อมาให้เติมน้ำซุปลงไปในน้ำตาลมที่เคี่ยวไว้ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว เกลือ และพริกไทยตามรสชาติที่ชอบ แล้วเคี่ยวต่อไปด้วยไฟอ่อนอีก 5 นาที
  • เมื่อน้ำที่เคี่ยวได้ที่ให้ใส่แป้งที่ละลายเอาไว้แล้วลงไปในน้ำ แล้วเคี่ยวต่อไปอีกเพื่อให้น้ำมีความข้น หากได้ความข้นที่พอใจแล้วก็ปิดไฟได้เลย และใส่น้ำมันงากับเหล้าจีนลงไป คนให้เข้ากันตั้งพักไว้ก่อน
  • เติมงาขาวและถั่วลิสงบดลงไปพร้อมกับคนให้เข้ากัน
  • สุดท้ายตักข้าวใส่จาน นำหมูกรอบที่หั่นชิ้น และไข่ต้มมาวางบนข้าว ราดน้ำที่ทำเตรียมไว้ โรยผักชีเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็พร้อมจัดเสิร์ฟแล้ว

6. หมูกรอบผัดพริกขิง

หมูกรอบผัดพริกขิง

เมนูหมูกรอบผัดพริกขิงเป็นเมนูที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยกิน แต่บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูหมูกรอบที่ควรลอง โดยเมนูหมูกรอบผัดพริกขิงมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของพริกแกง

  • พริกแห้ง
  • รากผักชี
  • พริกไทยเม็ด
  • กระเทียม
  • ตะไคร้ซอย
  • ขิงหั่นแว่น
  • ข่าหั่นแว่น
  • หอมแดง
  • เกลือป่น

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูหมูกรอบผัดพริกขิง

  • หมูกรอบ (หั่นชิ้น)
  • ถั่วฝักยาว (หั่นชิ้น)
  • น้ำตาลปี๊บ
  • น้ำปลา
  • ใบมะกรูดซอย
  • พริกแดงสไลซ์
  • น้ำมันพืช (เอาไว้ใช้สำหรับผัด)

ขั้นตอนการทำเมนูหมูกรอบผัดพริกขิง

  • เริ่มจากการเตรียมพริกแกง โดยจะต้องโขลกพริกแห้ง รากผักชี พริกไทยเม็ด กระเทียม ตะไคร้ซอย ขิงหั่นแว่น ข่าหั่นแว่น หอมแดง และเกลือป่น ให้ละเอียดและเข้ากัน
  • เมื่อได้เครื่องแกงแล้ว ให้ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันลงไป รอให้กระทะร้อนได้ที่จึงใส่พริกแกงลงไปผัดให้เหลืองหอม
  • ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บและน้ำปลา คนส่วนผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นใส่หมูกรอบหั่นชิ้นและถั่วฝักยาวลงไปผัดต่อจนเข้ากันดี
  • โรยด้วยใบมะกรูดซอยและพริกชี้ฟ้าแดงสไลซ์ ปิดเตา ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟทันที

7. ก๋วยจั๊บน้ำข้นหมูกรอบ

ก๋วยจั๊บน้ำข้นหมูกรอบ

มากันถึงเมนูจากหมูกรอบเมนูสุดท้ายที่อยากแนะนำก็คือ เมนูก๋วยจั๊บน้ำข้นหมูกรอบ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูอร่อยที่ไม่ควรพลาด โดยจะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่สำคัญของเมนูก๋วยจั๊บน้ำข้นหมูกรอบ

  • เส้นก๋วยจั๊บสำเร็จรูป
  • หมูกรอบ
  • ตับหมู
  • เลือดหมู
  • ไข่ไก่ต้ม
  • เต้าหู้ทอด
  • ซีอิ๊วขาว
  • เกลือ
  • น้ำตาลทราย
  • ซีอิ๊วดำ
  • ซอสหอยนางรม
  • กระเทียมบุบหยาบ ๆ 
  • รากผักชี
  • อบเชย
  • โป๊ยกั๊ก
  • พริกไทยเม็ด
  • น้ำสต๊อก
  • ผงพะโล้

ขั้นตอนการทำเมนูก๋วยจั๊บน้ำข้นหมูกรอบ

  • เริ่มจากการต้มเส้นก๋วยจั๊บสำเร็จรูป โดยใส่เส้นลงในน้ำที่เดือด ในขณะที่ต้มจะต้องคนเส้นไปด้วย เพื่อช่วยไม่ให้เส้นติดกัน เมื่อเช็กแล้วว่าเส้นสุกดีแล้วก็ให้ตักพักไว้ก่อน
  • ต่อมาในการทำน้ำซุปให้ใส่น้ำมันลงในหม้อเล็กน้อย ใส่กระเทียมบุบ รากผักชี อบเชย โป๊ยกั๊ก และผงพะโล้ลงไปผัดให้หอม แล้วปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำปลา น้ำตาลทราย น้ำมันหอย  พริกไทยป่น และซีอิ๊วดำพร้อมกับเทน้ำสต็อกที่เตรียมเอาไว้ลงไป
  • ในขณะที่กำลังต้มน้ำนั้นให้นำเอาไข่ไก่ เต้าหู้ และตับหมูลงไปต้มให้สุก แล้วตักออกมาพักไว้ และใส่เลือดหมูลงไปต้มต่อ เมื่อสุกดีแล้วก็ตักออก
  • เมื่อเตรียมทุกอย่างครบหมดแล้วให้ใส่เส้น หมูกรอบ ไข่ เต้าหู้ และตับลงในถ้วย จากนั้นราดด้วยน้ำก๋วยจั๊บ โรยหน้าด้วยผักชี ต้นหอม และกระเทียมเจียวเล็กน้อย ก็เป็นอันพร้อมเสิร์ฟ

สรุปบทความ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเมนูหมูกรอบที่อยากจะมาแนะนำกัน โดยแต่ละเมนูนั้นก็ต้องบอกเลยว่าเป็นเมนูยอดฮิตที่หลายคนคงจะรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ที่สำคัญยังเป็นเมนูที่อร่อย แค่มีเตาแก๊สก็ทำได้ง่าย ๆ แถมสามารถทำเองได้ด้วย ซึ่งใครกำลังมองหาเมนูจากหมูกรอบมาทำอาหารก็สามารถจดสูตรแล้วไปทำตามกันได้เลย

Follow Us

TEL. 02-274-3434
EMAIL : webmaster@sbo-brand.com

The Signature Brand Co., Ltd. 
771 Pracha Uthit Road, Samsen Nok,Huai Khwang District, Bangkok 10310