แจก สูตรหมูกรอบ ทำเองง่ายๆ ไม่ต้องนั่งเสียใจกับคำว่า “หมูกรอบหมด”

แจกสูตรหมูกรอบ ทำเองง่าย ๆ
เจ็บกว่าประโยคถูกบอกเลิกก็คงจะเป็นประโยคที่ว่า “หมูกรอบหมด” เพราะว่ามันคืออาหารโปรดของใครหลายๆ คน ชนิดที่ว่าเวลาได้กินทีไรนี่ต้องลืมอ้วนกันไปเลย จะทำกินเองก็ยากลำบาก เพราะวิธีทำหมูกรอบ มันมีหลายขั้นตอนมาก ๆ อีกทั้งเมื่อซื้อกินก็ยังเจอปัญหาหมูกรอบหมดบ้าง หมูกรอบเหม็นหืน หมูกรอบที่ชุ่มไปด้วยน้ำมัน บางร้านไม่อร่อยแถมยังมีราคาสูง ทำให้การหาหมูกรอบดีๆ มาทาน นี่แทบจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติเลย แจกสูตรหมูกรอบ

ที่มาที่ไปของสูตรหมูกรอบในไทย

ก่อนที่เราจะไปพูดถึง วิธีการทำหมูกรอบ เรามาทราบถึงที่มาและที่ไปของเมนูยอดทีมนี้ก่อนว่าเริ่มต้นนั้นมีถิ่นกำเนิดมาจากที่ไหน เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนเดาถูกใช่ไหม เมนูนี้มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอะไร แน่นอนว่าหมูกรอบเป็นเมนูที่มาจากประเทศจีน โดยที่ผู้อพยพชาวจีนนั้นได้นำเมนูสุดพิเศษนี้เข้ามาให้ชาวไทยได้ลิ้มลองไม่เกินช่วงศตวรรษที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเมนูที่กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทยหลายๆ เมนูนั้นก็มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีนเช่นเดียวกัน

รวมวิธีทำหมูกรอบสูตรเด็ดทำเองได้ที่ครัว

สูตรหมูกรอบมีหลายสูตรให้เราได้เลือกใช้ ดังนั้นวิธีทำหมูกรอบเราสามารถที่จะใช้วิธีง่ายๆ ที่เหมาะกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่เรามีอยู่ หรือสำหรับใครที่ต้องการหมูกรอบในอุดมคติก็สามารถเลือกใช้สูตรหมูกรอบแบบที่เราชอบได้ แล้ววันนี้เรามีสูตรหมูกรอบมาแนะนำให้กับเพื่อนๆ ได้ไปลองทำตามทั้งหมด 3 สูตรมีทั้งวิธี อบ ต้ม ทอด ตากแดด สะดวกวิธีไหนก็ไปลองทำตามกันได้เลย แจกสูตรหมูกรอบ ทำเองง่าย ๆ

1. สูตรหมูกรอบแบบ ต้ม-อบ-ทอด

วัตถุดิบที่ต้องเตรียม

  • หมูสามชั้น 1 กิโลกรัม
  • เกลือ ¾ ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช สำหรับทอด

ขั้นตอนการทำหมูกรอบ

  1. ต้มหมูสามชั้นให้สุก แล้วใช้มีดบั้ง ตามด้วยการทาเกลือและพริกไทย ทิ้งไว้ 20 นาที 
  2. เมื่อหมักครบแล้วนำไปอบที่อุณหภูมิ 100 องศาประมาณ 2 ชั่วโมง
  3. ตั้งน้ำมันให้ท่วมชิ้นหมู หลังจากนั้นวางหมูด้านหนังลงไปทอดจนฟู โดยใช้เวลา 10 นาที หลังจากนั้นให้กลับด้านทอดจนเหลืองกรอบต่ออีก 5 นาที เมื่อครบแล้วให้ตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมันบนตะแกรง 
  4. หลังจากที่หมู่กรอบเย็นแล้วจะมีความกรอบมากขึ้น เพียงแค่นี้ก็เสร็จพร้อมทาน 

2. สูตรหมูกรอบแบบ ต้มและทอด

วัตถุดิบที่ต้องเตรียม

  • หมูสามชั้น 1 กิโลกรัม
  • เกลือ 2 ช้อนชา
  • น้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวง
  • น้ำมันพืช สำหรับทอด

ขั้นตอนการทำหมูกรอบ

  1. หมักหมูสามชั้นด้วยเกลือ และหลังจากนั้นนำไปแช่ไว้ในน้ำส้มสายชู 30 นาที 
  2. ใช้ส้อมจิ้มให้ทั่วหนังหมู หลังจากจิ้มจนทั่วแล้วนำไปต้มในน้ำเดือดจนเปื่อย โดยใช้เวลาการต้มประมาณ 20 นาที วิธีสังเกตให้ใช้ส้อมจิ้มถ้าใกล้สุดหนังจะเริ่มตึงและจิ้มง่ายขึ้น
  3. นำหมูมาแช่ในน้ำส้มสายชูอีกครั้ง 5 นาที แล้วค่อยเอามาผึ่ง 
  4. ตั้งน้ำมันให้ร้อนจัด เมื่อหมูกรอบแห้งแล้วให้นำลงมาทอดจนเหลืองกรอบ

3. สูตรหมูกรอบแบบ ต้ม-ตากแดด-ทอด

วัตถุดิบที่ต้องเตรียม

  • หมูสามชั้น 1.5 กิโลกรัม
  • เกลือ 85 กรัม
  • น้ำเปล่า 10 ถ้วย
  • น้ำมันสำหรับทอด

ขั้นตอนการทำหมูกรอบ

  1. ตั้งหม้อใส่น้ำและเกลือจนเดือด ต้มหมูด้านหลังโดยใช้เวลาการต้มประมาณ 40 นาที 
  2. ใช้ส้อมจิ้มหนังหมูให้พรุนจนทั่ว จากนั้นตากแดดไว้ 1 ชั่วโมงจนหนังแห้งตึง
  3. ตั้งน้ำมันให้เดือด เมื่อน้ำมันได้ที่แล้วให้นำหมูมาทอดโดยเริ่มจากด้านหนังหมูก่อน แล้วจึงทำการกลับด้านแล้วทอดอีกด้านต่อให้สุกเหลืองกรอบ เสร็จแล้วนำมาพักไว้บนตะแกรง
แจกสูตรหมูกรอบ ทำเองง่าย ๆ การทำหมูกรอบด้วยตัวเองไม่ยากเลยใช่ไหมแต่อาจจะเป็นเมนูที่ต้องใช้เวลาในการทำพอสมควร ดังนั้นเรามาลดขั้นตอนด้วยวิธีทำหมูกรอบง่ายๆ ด้วยหมูกรอบเตาอบดูไหม รับรองเลยว่าง่ายและไม่ยุ่งยากอย่างแน่นอน แต่ถ้าจะให้ดีต้องเป็นเตาอบจาก Tecnogas เท่านั้น เพราะโดดเด่นทั้งการคุมอุณหภูมิ แถมยังมีฟังก์ชันครบครันสุด ๆ

วิธีทำมาการอง ขนมสไตล์ยุโรปที่ครัวไทยก็สามารถทำได้

วิธีทำมาการอง ขนมสไตล์ยุโรปที่ครัวไทยก็สามารถทำได้
ขนมหวานขึ้นชื่อที่มาจากประเทศฝรั่งเศส ถึงแม้จะยังไม่ได้ลิ้มลองรสชาติ แต่เพียงแค่เห็นหน้าตาและสีสันก็ต้องตกหลุมรักแล้ว และยิ่งถ้าหากคนที่เคยได้ลองทานก็บอกว่าอร่อยกันแทบทุกคนซึ่งขนมนั่นก็คือ มาการอง ใครที่เป็นสายขนมหวานสายเบเกอรี่ต้องห้ามพลาด นอกจากนั้นถ้าคุณเป็นสายคาเฟ่และชอบถ่ายรูปสวย ๆ ขนมมาการองก็เป็นพร็อพถ่ายรูปได้ดีสุด ๆ ใครที่สนใจอยากจะลองทานหรือว่าอยากจะลองทำกินเองเรามีวิธีทำมาการองที่สามารถทำได้เองที่บ้านมาแนะนำ วิธีทำมาการองแบบฉบับอิตาเลี่ยนแท้

วิธีทำมาการองแบบฉบับอิตาเลี่ยนแท้ๆ

วิธีทำขนมมาการอง แบบอิตาเลี่ยนแท้ๆ ถึงแม้จะไม่ได้ง่ายแต่ว่ามันก็ไม่ได้ยากจนเกินไป เพียงแค่รู้วิธีการหรือว่าขั้นตอนในการทำ เราก็สามารถที่จะสูตรมาการองแบบอิตาเลียนแท้ๆ ไว้ทานเองที่บ้านได้แล้ว มาการองคือขนมคุกกี้ชิ้นเล็กๆ 2 อันประกบกันโดยมีไส้อยู่ตรงกลาง มีสีสันสดใส และเป็นขนมที่มีเทกเจอร์แบบกรอบนอกนุ่มใน ส่วนประกอบหลักๆ จะมีอัลมอนด์ น้ำตาล ไข่ขาว และไส้กานาชที่มีหลากหลายรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นสตรอว์เบอร์รี วานิลลา ช็อกโกแลต อัลมอนด์ สิ่งสำคัญของการทำมาการองนั่นก็คือการใช้ไฟในการอบ เพราะมันส่งผลทั้งด้านความสวยงามรวมไปถึงรูปทรงของขนม มาดูกันเลยว่าวิธีทำมาการองนั้นจะมีวิธีการและส่วนผสมอะไรบ้าง แจกสูตรมาการองแบบฉบับอิตาเลี่ยน

ส่วนประกอบสำคัญของมาการอง

ส่วนผสมที่ 1
  • อัลมอนด์ป่นละเอียด 150 กรัม
  • น้ำตาลไอซิ่ง 150 กรัม
  • ไข่ขาวส่วนที่หนึ่ง 55 กรัม
  • สีผสมอาหาร (แนะนำให้ใช้สีฝุ่นหรือสีเจลเท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้สีน้ำเพราะมันจะทำให้ขนมมีความชื้น)
ส่วนผสมที่ 2
  • น้ำสะอาด 37 กรัม
  • น้ำตาลทรายขาว 150 กรัม
  • ไข่ขาวส่วนที่สอง 55 กรัม
  • ไส้ช็อกโกแลตกานาช
  • ดาร์กช็อกโกแลต 70% 150 กรัม
  • วิปครีม 150 กรัม
  • กลิ่นรัม ½ ช้อนชา

วิธีทำมาการองแบบ Step by Step

  • ร่อนอัลมอนด์กับน้ำตาลไอซิ่งเข้าด้วยกัน
  • ผสมสีกับไข่ขาวส่วนที่ 1 แล้วเทลงในอ่างอัลมอนด์และน้ำตาลที่ได้เตรียมไว้ในขั้นตอนแรก
  • เทน้ำตาลและน้ำสะอาดลงไปในหม้อ โดยขั้นตอนนี้จะใช้ไฟกลางค่อนข้างไปทางอ่อน แต่จะไม่ได้อ่อนมากในการต้ม เมื่ออุณหภูมิในหม้ออยู่ที่ประมาณ 112 องศา ให้เริ่มตีไข่ขาวส่วนที่ 2 โดยใช้ความเร็วสูงในการตี 
  • จากนั้นไปต้มน้ำเชื่อมจนมีอุณหภูมิ 118 องศา นำออกจากเตาแล้วนำน้ำเชื่อมไปตีรวมกับไข่ขาว ค่อยๆเทน้ำเชื่อมลงไปให้เป็นสาย พยายามอย่าเททีเดียวหมดเพราะมันจะทำให้น้ำตาลเป็นก้อน 
  • ตีจนได้อุณหภูมิเมอแรงค์ที่ 50 องศา
  • นำเมอแรงค์ไปผสมกับส่วนของอัลมอนด์ น้ำตาลไอซิ่ง และไข่ขาวส่วนที่ 1 คนจนทำให้ส่วนผสมเข้ากัน หลังจากนั้นใส่ถุงบีบและใช้หัวบีบแบบกลม บีบใส่แผ่นรองอบ
  • เสร็จแล้วให้ทำการกระแทกถาดแรงๆ 2-3 ครั้ง พักให้ผิวหน้าแห้งประมาณ 20-30 นาที 
  • เอาเข้าเตาอบด้วยไฟบนล่างปิดพัดลม โดยใช้อุณหภูมิที่ 150 องศาเป็นเวลา 20-30 นาที
  • ทำไส้ช็อกโกแลตด้วยการนำวิปครีมเข้าไมโครเวฟ 1 นาที หรือถ้าใครสะดวกต้มก็สามารถใช้วิธีต้มได้ เสร็จแล้วให้เทวิปครีมลงไปในช็อกโกแลต ใส่กลิ่นรัมตามด้วยการคนให้เข้ากัน หลังจากนั้นพักทิ้งไว้ให้ช็อกโกแลตเซตตัว 
  • บีบไส้กานาชใส่มาการองที่เตรียมไว้ เพียงแค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ แต่ถ้าหากอยากให้มาลองมีความอร่อยมากยิ่งขึ้น หลังจากบีบไส้แล้วควรเก็บไว้ 24 ชั่วโมงเพื่อให้มาการองอร่อยยิ่งขึ้น
แจกสูตรมาการองแบบฉบับอิตาเลี่ยน จากที่ได้อ่านรายละเอียดวิธีทำมาการองไปแล้ว เราจะเห็นได้ว่า สวยที่ต้องให้ความสำคัญและค่อนข้างที่จะมีผลต่อการทำขนมนั่นก็คือเรื่องของอุณหภูมิ หากใช้อุณหภูมิไม่ถูกต้องจะส่งผลถึงหน้าตาและรสชาติของขนม เพราะฉะนั้นวิธีการแก้ไขง่ายๆ นั่นก็คือหาอุปกรณ์ทำครัวที่โดดเด่นในการควบคุมอุณหภูมิ และอุปกรณ์ทำครัวที่มีคุณสมบัตินี้จะต้องเป็น Tecnogas เท่านั้น เพราะเป็นผู้ให้บริการเครื่องครัวยุโรปที่สามารถทำขนมมาการองได้ครบทุกขั้นตอนอย่างแน่นอน

แจก สูตรคอนเฟลก เคี้ยวเพลิน ทำง่าย แต่อร่อยได้นาน

แจก 5 สูตรทำคอนเฟลกทำง่าย
คอนเฟลก (Corn Flakes) สามารถเอามารับประทานควบคู่กับนมสด หรือบางคนอาจจะนำมารับประทานพร้อมกับการดื่มกาแฟในยามเช้าก็อร่อยไม่แพ้กัน เรามีสูตรทำคอนเฟลก มาแจกให้กับทุกคนมากถึง 5 สูตร เพื่อที่จะทำให้คอนเฟลกของทุกคนมีความอร่อยมากยิ่งขึ้น สูตรคอนเฟลกคาราเมล

รวม 5 สูตรทำคอนเฟลกหอมอร่อย

การเพิ่มวัตถุดิบหรือการเพิ่มท็อปปิ้งเป็นวิธีทำคอนเฟลกให้อร่อยมากขึ้น ใครที่เบื่อกับการต้องมานั่งทานกับนมหรือว่าดื่มกับกาแฟต้องห้ามพลาดสูตรคอนเฟลก ทั้ง 5 สูตรเลย

1. วิธีทำคอนเฟลกคาราเมล

ส่วนผสม 
  • คอนเฟลก (ยี่ห้อไหนก็ได้) 300 กรัม
  • เนยสดจืด 100 กรัม 
  • น้ำตาลทรายสีทองหรือน้ำตาลทราย 120 กรัม
  • นมข้นหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
  • นมสด 2 ช้อนโต๊ะ
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเชื่อมกลิ่นคาราเมลหรืออาจใช้น้ำผึ้ง  30 กรัม
  • เกลือป่น 1 กรัม
  • วนิลาหรือกลิ่นสังเคราะห์
  • มะม่วงหิมพานต์อบสุก
  • อัลมอนด์อบสุก
  • ลูกเกด 100 กรัม
ขั้นตอนการทำ 
  1. ใส่เนยน้ำตาล นมข้นหวาน นมสด แป้งสาลี น้ำเชื่อมและเกลือป่นพร้อมกับฝากวานิลลาลงไปในหม้อ 
  2. นำขึ้นไปตั้งบนไฟกลาง คนส่วนผสมให้เข้ากัน
  3. เคี่ยวจนเดือด
  4. เทคอนเฟลก มะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์และลูกเกดเตรียมไว้ในภาชนะ 
  5. ค่อยๆ ตักคาราเมลที่ร้อนๆราดลงไปบนคอนเฟลก พร้อมกับคนให้ทุกส่วนผสมเข้ากันเป็นเวลา 5 นาที
  6. จากนั้นแบ่งใส่ถาดเพื่อจะนำไปอบ อุณหภูมิที่ใช้ในการอบน้ำจะอยู่ที่ 130 องศาเซลเซียส 10 นาทีและผึ่งไว้
  7. หลังจากคอนเฟลกเริ่มเย็นลงแล้วให้นำไปเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิด เพียงแค่นี้ก็จะได้คอนเฟลกกรอบๆ หอมๆ คาราเมล พร้อมทาน 

2. วิธีทำคอนเฟลกไวท์ช็อกโกแลต

ส่วนผสม 
  • ไวท์ช็อกโกแลต 250 กรัม
  • คอนเฟลก 100 กรัม 
  • แครนเบอร์รี่อบแห้ง 50 กรัม
  • ลูกเกดอบแห้ง 50 กรัม
ขั้นตอนการทำ
  1. ต้มน้ำร้อนสำหรับละลายช็อกโกแลต
  2. น้ำช็อกโกแลตใส่ภาชนะเพื่อที่จะนำมาละลายในอ่างน้ำร้อน
  3. นำคอนเฟลกใส่ลงไปในชามผสม ตามด้วยใส่แครนเบอร์รี่อบแห้งพร้อมกับลูกเกด
  4. คลุกเคล้าเบาๆ เพื่อให้ส่วนผสมทุกอย่างกระจายทั่วกัน
  5. เทไวท์ช็อคโกแลตที่ละลายไว้ใส่คอนเฟลก หลังจากนั้นให้ค่อยๆ คนจนกว่าไวท์ช็อกโกแลตจะเคลือบทั่วคอนเฟลก 
  6. ตักใส่พิมพ์ตามขนาดที่เราต้องการ 
  7. นำไปแช่ตู้เย็น 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง แช่เย็นจนครบแล้วก็จัดจานพร้อมเสิร์ฟได้เลย
สูตรทำคอนเฟลกหอมอร่อย

3. วิธีทำคอนเฟลกไข่เค็ม

ส่วนผสม
  • คอนเฟลก 1 กล่อง 
  • เมล็ดธัญพืชตามใจชอบ
  • น้ำผึ้ง 40 กรัม
  • เนยจืด 100 กรัม
  • นมสด 40 กรัม
  • แป้งสาลี 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือครึ่งช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 50 กรัม
  • ไข่แดงเค็ม 3 ลูก
  • กลิ่นวนิลา 2 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำ 
  1. นำไข่แดงเค็มเข้าเตาอบ 8 นาทีพร้อมกับบดให้ละเอียด
  2. นำเนยจืด น้ำตาลทราย นมสด เกลือ น้ำผึ้ง แป้งและไข่คนด้วยไฟอ่อนๆ พอเดือดก็ปิดเตา
  3. ผสมคอนเฟลกและเมล็ดพืชต่างๆ ในภาชนะแล้วใส่คาราเมลพร้อมกับคลุกเคล้าจนทั่ว
  4. นำคอนเฟลกที่เคลือบคาราเมลแล้วไปอบในอุณหภูมิ 180 องศา 20 นาทีแบ่งเป็น 2 รอบ  
  5. นำคอนเฟลกออกจากเตาอบพร้อมคนจนกว่าจะเย็นและเก็บใส่ภาชนะปิด

4. วิธีทำคอนเฟลกคาราเมลน้ำผึ้ง

ส่วนผสม
  • คอนเฟลก 300 กรัม
  • เนยจืด 100 กรัม
  • นมข้นหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
  • นมสด 2 ช้อนโต๊ะ
  • แป้งอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 120 กรัม
  • เกลือ 1 กรัม
  • ธัญพืชตามใจชอบ 500 กรัม 
ขั้นตอนการทำ
  1. มีน้ำเพียงเล็กน้อย ใส่แป้ง เนย นมข้นหวาน นมสด น้ำตาลทราย เกลือ น้ำผึ้ง คนเข้าด้วยกันขณะที่ตั้งไฟไม่แรง
  2. เทคอนเฟลกและธัญพืชลงไปในหม้อหรือภาชนะที่เตรียมไว้สำหรับการคน
  3. นำคาราเมลที่เคี่ยวได้ค่อยๆ ราดลงบนคอนเฟลกและคนให้เข้ากัน แบ่งใส่ถาดสำหรับการเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 130 องศาเป็นเวลา 10 นาที
  4. เมื่อนำออกมาจากตู้อบนำมาผึ่งไว้จนกว่าอุณหภูมิจะลดลงหลังจากนั้นเก็บไว้ในภาชนะปิด 

5. วิธีทำคอนเฟลกไก่กรอบ

ส่วนผสม 
  • โคนปีกไก่ 300 กรัม
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
  • พริกไทยป่น ¼ ช้อนชา
  • แป้งทอดกรอบสำเร็จรูป
  • น้ำเย็น
  • คอนเฟลกบีบ
  • น้ำมันพืช
ขั้นตอนการทำ
  1. เตรียมโคนปีกไก่ ใช้มีดเล็กๆเลาะเนื้อและหนังรูดลงมา
  2. โรยพริกไทยโปรดและซีอิ๊วขาวลงบนโคนปีกไก่ คลุกเคล้าให้เข้ากันและหมัก 15 นาที นำไปนึ่งให้สุก
  3. ผสมแป้งทอดกรอบกับน้ำเย็นจาก นำปีกไก่ลงไปชุบแป้งพร้อมกับคอนเฟลก 
  4. นำลงไปทอดในน้ำมันพืชร้อนไฟปานกลางให้เหลืองจนสุก
แจกสูตรทำคอนเฟลก วิธีทำคอนเฟลกให้อร่อยสามารถทำได้ง่าย ๆ แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเตาอบที่มีความจำเป็น หากใครยังไม่มีเตาอบเราขอแนะนำเตาอบจากแบรนด์ Tecnogas ที่มีฟังก์ชันครบครัน

ทำความรู้จักกับ ชนิดเส้นพาสต้า ส่วนผสมอาหารอิตาเลียนยอดนิยม

ทำความรู้จักกับ ชนิดเส้นพาสต้า
เมื่อพูดถึงอาหารอิตาเลียนกับคนทั่วๆ ไป คงจะนึกถึงเมนู “มักกะโรนี” หรือว่า “สปาเกตตี้” เป็นลำดับแรกๆ เลยใช่ไหม ซึ่งทั้งสองเมนูนี้เป็นอาหารอิตาเลียนประเภทเส้น แต่ส่วนมากเราจะคิดว่าทั้งสองเมนูนี้ใช้เส้นเพียงแค่ 2 แบบเท่านั้น แต่ในความจริงแล้ว ชนิดเส้นพาสต้า มีหลายประเภทมากๆ ดังนั้นเราจะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับเส้นพาสต้าแบบอื่นๆ ว่ามีเส้นแบบใดบ้าง “พาสต้า” (Pasta) เป็นเมนูอาหารอิตาเลียนประเภทเส้น โดยเส้นนั้นจะทำมาจากส่วนผสมสำคัญหลักๆ คือแป้งและน้ำ ซึ่งลักษณะและเทกเจอร์ของเส้นให้สัมผัสเฉพาะตัว นอกจากนั้นยังมีส่วนผสมพิเศษอื่นๆ มากมายที่ทำให้ชนิดเส้นพาสต้า มีให้เลือกหลายประเภท การแบ่งกลุ่มเส้นพาสต้าจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ “พาสต้าเส้นสด” (fresh pasta) และ “พาสต้าเส้นแห้ง” (dried pasta) โดยทั้ง 2 แบบก็จะมีลักษณะหรือเทกเจอร์ที่แตกต่างกัน รวมไปถึงข้อดีของแต่ละเส้นที่แตกต่างกัน เส้นเส้นสปาเกตตี

ชนิดเส้นพาสต้าแตกต่างกันอย่างไร

การแบ่งความแตกต่างกันของชนิดเส้นพาสต้า ก็จะแบ่งได้หลายแบบมากๆ ไม่ว่าจะแบ่งตามการเตรียม หรืออาจจะแบ่งด้วยวัตถุดิบพิเศษ ที่เพิ่มเข้ามาเพื่อทำให้ได้เส้นพาสต้าแบบใหม่ๆ อย่างเช่น พาสต้าเส้นผัก, พาสต้าเส้นดำ ที่หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นและรู้สึกว่าสีสันมันสุดจะแปลกตา ทำให้ในปัจจุบันเส้นพาสต้ามีมากถึง 600 ชนิด นอกจากนั้นยังแบ่งชนิดของเส้นพาสต้าตามลักษณะของรูปร่าง โดยจะแบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ พาสต้าเส้นสั้น และพาสต้าเส้นยาวนั่นเอง 

ชนิดเส้นพาสต้าแบ่งตามลักษณะสั้น-ยาว

ชนิดเส้นพาสต้าแบ่งตามลักษณะสั้น-ยาว

เส้นพาสต้าแบบสั้น

1. มักกะโรนี (Macaroni)

เป็นชนิดเส้นพาสต้าเส้นมักกะโรนีที่มีลักษณะเหมือนทรงกระบอกที่ถูกตัดให้สั้นและนำมาดักงอ ในต่างประเทศส่วนมากนั้นจะนิยมนำไปอบพร้อมกับชีส ส่วนที่นิยมไทยนั้นมักจะนำมาผัดกับซอสมะเขือเทศ หรือนำไปต้มกับเมนูต่างๆเพื่อเพิ่มความอร่อย 

2. ฟูซิลี่ (Fusilli)

ฟูซิลี่ เป็นชนิดเส้นพาสต้าอีกหนึ่งชนิดที่คนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยมากนัก เส้นพาสต้าชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นเกลียวสว่าน และจะมีความหนามากกว่าเส้นพาสต้าชนิดอื่นๆ เมนูที่นิยมส่วนมากจะนำมาอบพร้อมกับชีส หรือปรุงรสร่วมกับซอสที่มีรสชาติเข้มข้น ด้วยความพิเศษของเส้นที่มีความหนามากๆ ทำให้สามารถดูดซับรสชาติของซอสได้ดีสุดๆ 

3. เพนเน (Penne)

เพนเน จะเป็นเส้นพาสต้าที่มีลักษณะใกล้เคียงกันกับมักกะโรนี แต่ว่าเพนเนจะมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกเรียวยาวและมีปลายตัดเฉียง การเอามาประกอบอาหารนั้นก็จะมีวิธีการปรุงคล้ายๆ กับมักกะโรนี

4. น็อคคี (Gnocchi)

เส้นพาสต้าที่มีลักษณะโค้ง มีความคล้ายเปลือกหอย นิยมนำมาผัดร่วมกับซอสมะเขือเทศหรือว่าซอสครีม 

5. ฟาร์ฟาลเล (Farfalle)

ฟาร์ฟาลเล จะมีลักษณะพิเศษที่น่ารักนั่นก็คือเหมือนกับโบว์หรือว่าผีเสื้อ ประเภทเส้นพาสต้า

เส้นพาสต้าแบบยาว

1. แคปเปลลินี (Cappellini)

แคปเปลลินี หรืออีกหนึ่งชื่อที่คุ้นเคยจะเป็นอย่างดีนั่นก็คือ “angel hair” เป็นเส้นพลาซ่าแบบยาวที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเส้นยาวทั้งหมด มีลักษณะคล้ายเส้นหมี่ การนำมาประกอบอาหารนั้นจะมีวิธีการคล้ายๆ กับเส้น สปาเกตตี 

2. บูคาตินี (Bucatini)

บูคาตินี เป็นเส้นกลมลักษณะด้านในจะเป็นรูกลวงตรงกลาง ซึ่งถือว่าเห็นได้น้อย แต่ก็ยังมีบางร้านในไทยที่ใช้อยู่ 

3. สปาเกตตินี (Spaghettini)

เป็นเส้นที่มีขนาดใหญ่กว่า แคปเปลลินี แต่จะมีขนาดที่เล็กกว่าเส้นสปาเกตตีเล็กน้อย 

4. ลิงกวิเน (Linguine)

ลักษณะของเส้นนี้มองผ่านๆ อาจจะมีความคล้ายกับเส้นเล็กของบ้านเรา แต่เส้นจะมีความกลมมากกว่า เส้นพาสต้าชนิดนี้จะนิยมนำมาประกอบอาหารที่มีส่วนผสมเป็นน้ำมันมะกอก 

5. สปาเกตตี (Spaghetti)

เป็นเส้นพาสต้าเป็นเส้นที่หาทานได้ง่ายๆ ลักษณะของเส้นจะเป็นเส้นกลมขนาดกลางที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป 

6. เฟตตูชิเน (Fettucine)

เป็นพาสต้าเส้นแบน ที่ตัวเส้นจะมีความแบนและยาวคล้ายลักษณะของริบบิ้น นิยมนำมารับประทานกับเนื้อที่เป็นชิ้นใหญ่ๆอย่างพวกสเต๊กหรือว่าแซลมอนเป็นต้น

7. แทลเลียเตลเล (Tagliatelle)

เป็นพาสต้าที่มีลักษณะเป็นเส้นแบนที่มีขนาดใหญ่มากกว่าเส้น ลิงกวิเน 

8. ลาซานญา (Lasagna)

ลาซานญา เป็นเส้นพาสต้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นิยมนำมาทำเป็นเมนูที่คุ้นเคยกันอย่างเมนู ลาซานญา ชนิดเส้นพาสต้า นี่เป็นเพียงแค่ชนิดเส้นพาสต้าบางส่วนจากทั้งหมดเท่านั้น เพราะถ้าหากพูดถึงเส้นพาสต้าทั้งหมดจะมีมากกว่าหลายร้อยชนิดเลยทีเดียว หากอยากทำเมนูจากเส้นพาสต้าขอแนะนำเครื่องครัวจากแบรนด์ Tecnogas เพราะอาหารอิตาลีต้องคู่กับเครื่องครัวอิตาลีเท่านั้น!

แนะนำ สูตรไข่กระทะ แบบง่ายๆ ที่ใครๆ ก็สามารถทำได้

แจก 10 สูตรไข่กระทะ
ไข่กระทะ เป็นเมนูมื้อเช้าที่ทำง่ายใช้เวลาไม่นาน เหมาะสำหรับเป็นมื้อที่เร่งรีบได้ดีสุดๆ ใครที่สนใจอยากจะลองทำเราก็มีตัวช่วย เพราะบทความนี้จะมาแจก สูตรไข่กระทะ ทั้งหมด 10 สูตรให้ไปลองทำแบบจุใจกันไปเลย สูตรไข่กระทะง่าย ๆ

แจก 10 สูตรไข่กระทะหลากสไตล์เพิ่มพลังยามเช้า

แจก 10 สูตรไข่กระทะง่ายๆ

1. ไข่กระทะทรงเครื่อง

ส่วนผสม
  • ไข่ 2 ฟอง
  • เครื่องท็อปปิ้งตามใจชอบ 
  • น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ
  • แครอทรูปลูกเต๋า 2 หยิบมือ
  • ผักชีซอย 1 หยิบมือ
  • พริกแดงซอย 1-2 เม็ด
  • หอมแดงซอย 2 หยิบมือ 
ขั้นตอนการทำ 
  1. เตรียมวัตถุดิบ
  2. ตอกไข่รอไว้เลย
  3. ใส่น้ำมันลงกระทะตั้งด้วยไฟอ่อน
  4. เทไข่ลงไปแล้วรอให้สุก
  5. ใส่ท็อปปิ้งต่างๆ ลงไป 
  6. ปิดท้ายด้วยการโรยพริกซอยและหอมแดง

2. ไข่กระทะหน้าชีส

ส่วนผสม
  • ไข่ 3 ฟอง 
  • เนยสำหรับทาขนมปัง 1 ก้อน 
  • ท็อปปิ้งเลือกได้ตามใจชอบ  
  • ปูอัดหั่น 2 ช้อนโต๊ะ
  • ไก่ฉีกรวน 2 ช้อนโต๊ะ
  • กุนเชียงทอด 2 ช้อนโต๊ะ 
  • ชีส 1 แผ่น 
ขั้นตอนการทำ 
  1. เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม 
  2. ตอกไข่ รอไว้เลย
  3. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนใส่เนย  
  4. ค่อยๆ เทไข่ใส่ลงไปในกระทะ แล้วรอให้สุกประมาณ 2-3 นาที 
  5. ใส่ท็อปปิ้งที่เตรียมไว้ลงไป 
  6. เรียงชีสบนไข่กระทะให้สวยงาม เมื่อชีสละลายได้ที่แล้วก็ปิดไฟได้เลย

3. ขนมปังไข่กระทะ

ส่วนผสม 
  • ขนมปังแผ่น 8 แผ่น 
  • ไข่ 4 ฟอง
  • ไส้กรอกหั่น 
  • แครอท
  • หอมใหญ่
  • มะเขือเทศ 
ขั้นตอนการทำ
  1. เตรียมวัตถุดิบและเจาะรูขนมปัง
  2. ใส่น้ำมันและตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน
  3. นำแผ่นขนมปังวางลงไปในกระทะ ใส่ไส้กรอกและตอกไข่ 
  4. ระหว่างรอให้ใส่ท็อปปิ้งลงไป
  5. นำมาอบต่ออีก 10 นาที ครบแล้วจัดใส่จานได้เลย
สูตรไข่กระทะง่าย ๆ

4. ไข่กระทะกุ้งสด

ส่วนผสม
  • ไข่ไก่ 2-3 ฟอง 
  • กุ้งสดแกะเปลือก  4-5 ตัว 
  • ต้นหอมผักชีซอย 
  • กระเทียมเจียว 
ขั้นตอนการทำ 
  1. ใส่น้ำมันและตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน 
  2. นำกระเทียมมาเจียวให้เหลืองหอม 
  3. ตอกไข่ใส่กระทะโรยเกลือเล็กน้อยตามด้วยกุ้งสด
  4. หลังจากไข่สุกแล้ว โรยต้นหอมผักชี กระเทียมเจียว แค่นี้เป็นอันเสร็จ

5. แซนด์วิชไข่กระทะ

ส่วนผสม
  • ไข่ 2-3 ฟอง
  • ขนมปัง 2 แผ่น
  • ต้นหอม
  • แฮม 2 แผ่น
  • เกลือ
  • พริกไทย
  • เนย
ขั้นตอนการทำ 
  1. ตอกไข่ใส่ชาม โรยเกลือ พริกไทยและต้นหอม พร้อมกับตีให้เข้ากัน 
  2. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนใส่เนย ตามด้วยเทไข่ที่เตรียมไว้ลงไป 
  3. เมื่อไข่เริ่มสุกแล้วให้วางแผ่นขนมปังลงไป จากนั้นก็นำแฮมที่เตรียมไว้วางลงไปที่ขนมปัง 
  4. เมื่อไข่เริ่มสุกแล้วก็ให้กลับด้าน 
  5. รอจนกว่าอีกด้านจะมีความเกรียมเล็กๆ เพียงแค่นี้ก็เสร็จพร้อมทานแล้ว 

6. ไข่กระทะไข่สับ

ส่วนผสม 
  • ไก่สับ 100 กรัม 
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง 
  • แครอท
  • หอมใหญ่ 
  • กระเทียมสับละเอียด
  • พริกไทยป่น 
  • เนย 
  • พริกไทยป่น 
ขั้นตอนการทำ
  1. เตรียมเครื่องปรุงและส่วนผสมไว้ให้เรียบร้อย
  2. เตรียมไก่สับ ตั้งกระทะด้วยไฟกลาง เจียวกระเทียมใส่ไก่สับละแครอทลงไป
  3. เตรียมไข่กระทะ ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนใส่เนย เมื่อเนยละลายให้ตอกไข่ลงไป
  4. เมื่อไข่เริ่มเซ็ตตัวให้ใส่ไก่สับลงไป
สูตรไข่กระทะง่าย ๆ

7. ไข่กระทะหน้าฮอทดอก

ส่วนผสม 
  • ไข่ 2 ฟอง 
  • ฮอทดอกหรือไส้กรอกที่ชอบ
  • เนย 
  • หอมใหญ่ซอย 
  • พริกไทยป่น 
  • ซอสปรุงรส
  • ต้นหอมผักชี 
ขั้นตอนการทำ
  1. เตรียมหม้อใส่น้ำและนำไส้กรอกลงไปลวกจนสุก
  2. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนใส่เนยลงไปในกระทะ ตอกไข่ใส่ลงไปในกระทะและปิดฝา 1-2 นาที
  3. นำท็อปปิ้งที่เตรียมไว้มาจัดวางลงบนไข่กระทะ
  4. จัดจานแล้วเสิร์ฟได้เลย 

8. ไข่กระทะเบคอน

ส่วนผสม
  • ไข่ 2 ฟอง
  • เบคอน 2 ชิ้น 
  • เนย
  • พริกแดงซอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • หอมผักชี 
  • ซอสปรุงรส
  • พริกไทยป่น 
ขั้นตอนการทำ 
  1. ตอกไข่และปรุงด้วยซอสปรุงรสคนให้เข้ากัน
  2. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน ใส่เนยลงไปในกระทะรอจนเนยละลาย 
  3. นำไข่ที่ปรุงเสร็จแล้วเทใส่ในกระทะ 
  4. เมื่อไข่เริ่มเซ็ตตัวให้นำเบคอนใส่ลงไป 
  5. โรยหอมผักชีและพริกไทยป่น 

9. ไข่กระทะยางมะตูม

ส่วนผสม
  • ไข่ไก่ 3 ฟอง 
  • น้ำมันพืช
  • หมูสับ
  • ซอสปรุงรส
  • พริกไทยป่น
  • หอมแดงซอย
ขั้นตอนการทำ 
  1. ปรุงหมูสับด้วยซอสปรุงรสและพริกไทยป่น จากนั้นนำไปคั่วให้สุก
  2. ตอกไข่และนำหมูสับที่ทำให้สุกแล้วมาคนให้เข้ากัน 
  3. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนใส่น้ำมัน เมื่อได้ที่ให้ใส่ไข่ที่เตรียมไว้ลงไป 
  4. เมื่อไข่กระทะเริ่มสุกให้ตอกไข่อีกใบลงไป
  5. รอจนไข่ที่ตอกลงไปเซ็ตตัว จากนั้นสามารถจัดจานพร้อมเสิร์ฟได้เลย 

10. ไข่กระทะปูอัด

ส่วนผสม
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • ปูอัด
  • เนย
  • ซอสปรุงรส
  • พริกไทยป่น
ขั้นตอนการทำ
  1. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน ตามด้วยใส่น้ำมันลงไป 
  2. ค่อยๆ ตอกไข่ลงบนกระทะ
  3. ระหว่างรอไข่สุกให้ใส่ปูอัดลงไป 
  4. ใส่ซอสปรุงรสและพริกไทยป่น
  5. สุกแล้วตักใส่จานได้เลย 
แจกสูตรไข่กระทะง่าย ๆ จุดสำคัญของวิธีทำไข่กระทะ คือการควบคุมความร้อนซึ่งต้องใช้ไฟที่ไม่แรงจนเกินไป เพื่อที่จะให้ทุกอย่างสุกพร้อมๆ กัน ดังนั้นควรจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จาก Tecnogas ที่มีบริการ เตาแก๊ส คุณภาพสูง ช่วยตอบโจทย์ทุกเมนูการทำอาหาร เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้เมนูไข่กระทะกลายเป็นเรื่องง่าย

รู้ชัด! เครื่องดูดควัน vs. พัดลมดูดอากาศห้องครัว

เครื่องดูดควัน vs. พัดลมดูดอากาศห้องครัว ต่างกันอย่างไร?
ในบทความนี้จะมาว่าด้วยเรื่องของ เครื่องดูดควัน vs. พัดลมดูดอากาศห้องครัว ว่าทั้งสองเครื่องนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งบางคนอาจจะเข้าใจว่า 2 อย่างนี้เป็นสิ่งเดียวกัน แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นคนละอย่าง เอาเป็นว่าเราไปรู้จักกับคุณสมบัติของ 2 อย่างนี้กัน และจะได้เปรียบเทียบว่าควรเลือกซื้ออันไหนถึงจะดี โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ เครื่องดูดควัน vs. พัดลมดูดอากาศห้องครัว

คุณสมบัติของเครื่องดูดควันและพัดลมดูดอากาศห้องครัว

ฮูดดูดควันในครัว

คุณสมบัติของเครื่องดูดควัน

เครื่องดูดควันในห้องครัวมีความสำคัญมาก การติดตั้งเครื่องดูดควันที่คอนโดหรือบ้านเป็นประโยชน์สำหรับทุกครัวเรือน เพราะตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการช่วยดูดควัน และดูดกลิ่นต่าง ๆ ในครัวได้ สามารถระบายอากาศออกไปสู่ด้านนอกได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อากาศสดชื่น อีกทั้งยังช่วยยับยั้งการเกิดคราบสะสมรอบห้องครัวได้ หลักในการระบายอากาศของเครื่องดูดควันมี 2 แบบ ได้แก่
  • เครื่องดูดควันระบายอากาศออกด้านนอก เมื่อทำอาหารแล้วจะช่วยดูดควัน ดูดกลิ่น และละอองออกไปในนอกบ้าน ผ่านตัวกรองน้ำมันและฟิลเตอร์คาร์บอน ตอบโจทย์ครอบครัวชอบการทำอาหารกินเองเป็นประจำ
  • เครื่องดูดควันระบบหมุนเวียน มีลักษณะเป็นที่ดูดควันผ่านระบบกำจัดกลิ่นภายในจะมีตัวกรอง หรือฟิลเตอร์คาร์บอนช่วยดูดซับกลิ่นต่าง ๆ จากนั้นนำอากาศที่กรองแล้วกลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง เป็นการหมุนเวียนมาใช้ใหม่ ตัวเครื่องดีไซน์เล็ก ขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับติดตั้งในอพาร์ทเม้นท์ หรือคอนโดฯ ที่มีพื้นที่จำกัด
พัดลมดูดควันในครัว

คุณสมบัติของพัดลมดูดอากาศห้องครัว

พัดลมดูดอากาศห้องครัว มีคุณสมบัติในการดูดอากาศในพื้นที่ที่ไม่สามารถระบายอากาศได้ดี เช่น ห้องครัว ห้องเก็บของ และห้องน้ำ เป็นต้น พัดลมดูดอากาศแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้ 
  • พัดลมดูดอากาศติดผนัง มีคุณสมบัติเป็นพัดลมที่สามารถดูดอากาศจากในห้องให้ออกไปสู่ข้างนอกได้ ช่วยปรับสภาพอากาศข้างในห้องให้ดีขึ้น เหมาะสำหรับการติดตั้งในห้องที่มีผนังและติดกับอากาศข้างนอกนอก
  • พัดลมดูดอากาศติดกระจก มีคุณสมบัติการทำงานเหมือนพัดลมดูดอากาศติดผนังคือ ดูดอากาศจากในห้องให้ออกไปสู่ข้างนอก แต่มีความแตกต่างตรงที่ติดกับตัวกระจก เหมาะสำหรับการติดตั้งในอาคารที่ติดตั้งกระจกเป็นผิวหน้า และอยู่ติดกับอากาศภายนอกด้วย เช่น ร้านเสริมสวย เป็นต้น
  • พัดลมดูดอากาศแบบฝังฝ้า ไม่มีการต่อท่อ คุณสมบัติในการทำงานคือ ช่วยดูดอากาศข้างในห้องให้ขึ้นไปหมุนเวียนบนฝ้าเพดาน สามารถระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี แต่พัดลมประเภทนี้เหมาะกับการติดตั้งในบ้านที่มีใต้หลังคาสูง ๆ เท่านั้น 
  • พัดลมดูดอากาศแบบฝังฝ้า มีการต่อท่อ คุณสมบัติในการทำงานคือ ช่วยดูดอากาศจากข้างในห้องขึ้นไปตามท่อบนฝ้าเพดาน และต่อออกไปสู่นอกอาคาร เหมาะกับการติดตั้งในตึก โรงงาน หรือคอนโดฯ ที่ไม่มีใต้หลังคาสูง

เครื่องดูดควันและพัดลมดูดอากาศห้องครัวต่างกันอย่างไร

  • เครื่องดูดควันในสามารถติดตั้งได้ทั้งในบ้านและคอนโดฯ แต่ต้องเลือกประเภทให้เหมาะสมกับการใช้งาน หรือมีการคำนึงถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ตามสถานที่ ควรติดตั้งควบคู่กับเครื่องดูดอากาศ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดูดควันและระบายอากาศได้ดียิ่งขึ้น
  • พัดลมดูดอากาศห้องครัว เหมาะกับห้องที่ไม่มีหน้าต่างระบายอากาศ สามารถระบายอากาศและเกิดการไหลเวียนอากาศได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องเลือกประเภทให้เหมาะสมกับการใช้งานเช่นกัน ที่สำคัญควรติดตั้งให้ตรงกับช่องลมหรือทิศทางการเดินลม จึงจะทำให้การระบายอากาศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ฮูดดูดควันในครัวแบบติดผนัง

เลือกแบบไหนดีกว่ากัน?

หากยังไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อเครื่องดูดควัน หรือพัดลมดูดอากาศห้องครัวดี ให้คำนึงถึงพื้นที่และข้อจำกัดของบ้านหรือที่อยู่อาศัยก่อนว่า อาศัยอยู่ในบ้าน ห้องเช่า หรือคอนโดฯ เปรียบเทียบความแตกต่างว่าติดตั้งเครื่องไหนถึงจะได้ผลดีที่สุด สามารถศึกษาและเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือสอบถามรายละเอียดจากร้านค้าที่จัดจำหน่าย แล้วจึงค่อยตัดสินใจซื้อ  ขอแนะนำให้เข้ามาเลือกชมสินค้าของ Tecnogas เครื่องดูดควัน มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งเครื่องดูดควันแบบติดผนัง เครื่องดูดควันกลางห้อง เครื่องดูดควันแบบหมุนเวียน มีคุณสมบัติการที่เงียบสงบไม่มีเสียงรบกวน ตอบโจทย์ทุกสถานที่ เพิ่มความสะดวกสบายในการทำอาหาร อีกทั้งยังสามารถเข้าได้กับทุกครัวเรือน

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด เพิ่มสเต็ปสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น

เลือกกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด

อีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตามหลักโภชนาตามแต่ละบุคคลให้เหมาะสม สามารถใช้วิธีกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดได้ เพราะการกินตามกรุ๊ปเลือดจะช่วยส่งเสริมร่างกายให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น สามารถทำให้รับอาหารที่เหมาะกับร่างกาย จะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายตามแต่ละกรุ๊ปเลือด คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าว่ากรุ๊ปเลือดหมู่ไหนควรทานอะไรบ้าง

อาหารตามกรุ๊ปเลือด

แนะนำการกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด

อาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ป A

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด A

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด สำหรับกรุ๊ปเลือด A มีระบบย่อยอาหารไม่ค่อยดี รวมไปถึงระบบภูมิคุ้มกันด้วย ฉะนั้นคนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้ควรเลือกทานอาหารที่เน้นวิตามินซีเป็นหลัก เพื่อฟื้นฟูและบำรุงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้

  • หมู่ที่ 1 โปรตีน : ควรบริโภคโปรตีนจากเนื้อปลา หรือเมล็ดธัญพืชทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบทานเนื้อสัตว์
  • หมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต : ควรบริโภคธัญพืชอย่าง ข้าวกล้อง ซีเรียล และข้าวสาลี เป็นต้น เพื่อเสริมธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย
  • หมู่ที่ 3 วิตามินจากพืชผัก : ผักที่ควรบริโภคบ่อย ๆ คือ แครอท ฟักทอง หรือผักโขม เป็นต้น
  • หมู่ที่ 4 วิตามินจากผลไม้ : เลือกทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะปราง และสับปะรด เป็นต้น
  • หมู่ที่ 5 ไขมัน : ควรลดไขมันจากนม และเนย

อาหารสำรับคนเลือดกรุ๊ป B

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด B

คนที่มีกรุ๊ปเลือด B ส่วนใหญ่เป็นบุคคลมักมีอาการแพ้ง่าย เป็นหวัดบ่อย เนื่องจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง แต่สามารถซึมซับสารอาหาร และย่อยอาหารได้ดี จึงทำให้อ้วน คนกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดนี้ควรเลือกทานอาหาร ที่มีแมกนีเซียมเยอะ ๆ เพื่อลดอาการภูมิแพ้ และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดังนี้

  • หมู่ที่ 1 โปรตีน : เนื่องจากร่างกายจะดูดซับและย่อยอาหารได้ดี ดังนั้นจึงเหมาะกับโปรตีนที่เป็นเนื้อปลา อาทิ ปลาเนื้อขาว และปลาตาเดียว เป็นต้น
  • หมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต : ควรเลือกบริโภคข้าวโอ๊ตและข้าวกล้องบ่อย ๆ เพื่อเสริมธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย
  • หมู่ที่ 3 วิตามินพืชผัก : คนเลือดกรุ๊ปนี้ควรเลี่ยงผักอย่างมะเขือเทศ และข้าวโพด แต่สามารถบริโภคผักใบเขียวได้เกือบทุกชนิด เพราะมีแมกนีเซียมที่ช่วยลดอาการแพ้ต่าง ๆ
  • หมู่ที่ 4 วิตามินผลไม้ : สามารถรับประทานผลไม้ทุกชนิด แต่ควรเลี่ยงผลไม้อย่างลูกพลับ ลูกแพร์ และทับทิม
  • หมู่ที่ 5 ไขมัน : บริโภคไขมันจากเนื้อสัตว์ ไม่ควรบริโภคจากเนย นม และไข่ มากเกินไป ที่สำคัญไม่ควรทานเนยแข็งเพราะจะส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร

อาหารสำหรับคนกรุ๊ปเลือด AB

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด AB

คนกรุ๊ปเลือด AB ส่วนใหญ่มีระบบภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี และมักจะมีอาการเครียดอยู่บ่อยครั้ง จึงควรงดอาหารประเภทหมักดองหรืออาหารแปรรูปทุกชนิด เพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยตรง อาหารที่ควรทาน ได้แก่ ผักหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลองุ่น ลูกพลัม และผลเบอร์รี่ ผลไม้เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและปรับสมดุลในเนื้อเยื่อของธัญพืชที่รับประทานไปอีกด้วย ที่สำคัญควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดังนี้

  • หมู่ที่ 1 โปรตีน : เพื่อให้ร่างกายย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น ควรทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์และอาหารทะเลในปริมาณที่น้อย ๆ เช่น กุ้ง หอย ปู และปลาหมึก เป็นต้น
  • หมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต : ไม่ควรทานแป้งและข้าวโพดในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก ควรทานข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และข้าวไรย์เป็นประจำ เพราะประโยชน์ต่อคนกรุ๊ปเลือดนี้อย่างมาก
  • หมู่ที่ 3 วิตามินจากพืชผัก : คนเลือดกรุ๊ปนี้สามารถทานผักได้เกือบทุกชนิด โดยเฉพาะผักโขม ผักบุ้ง ผักคะน้า เพราะมีไฟเบอร์สูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
  • หมู่ที่ 4 วิตามินจากผลไม้ : ควรเลือกทานผลไม้ที่มีวิตามินสูงอย่างผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้มโอ และกีวี และเพื่อรักษาสมดุลของกรดในกระเพาะอาหาร ควรทานผลไม้ที่มีกรดเป็นกลาง เช่น องุ่น เบอร์รี่ และเชอร์รี่ เป็นต้น
  • หมู่ที่ 5 ไขมัน : ควรทานไขมันจากเนย นม และไข่ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป

อาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ป O

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด O

คนที่มีกรุ๊ปเลือด O จะมีระบบย่อยอาหารที่มีความเป็นกรดสูง ระบบการเผาผลาญของร่างกายไม่ค่อยดี จึงทำให้ร่างกายเกิดภาวะเลือดแข็งตัวช้า และเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนง่าย ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีแป้งอย่าง ขนมปัง แต่ให้เน้นรับประทานผักที่มีวิตามินสูง และอาหารทั้ง 5 หมู่ ดังนี้

  • หมู่ที่ 1 โปรตีน : ไม่ควรทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงอย่าง หมู เบคอน และแฮม แต่ให้ทานโปรตีนจำพวกตับ ปลา อาหารทะเลต่าง ๆ เป็นต้น
  • หมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต : คนเลือดกรุ๊ป O ร่างกายเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนง่ายกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรทานข้าว และขนมปังอย่างพอดี
  • หมู่ที่ 3 วิตามินจากพืชผัก : ควรเลือกทานผักที่มีวิตามินเคสูง เช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า และผักโขม เป็นต้น
  • หมู่ที่ 4 วิตามินผลไม้ : ควรบริโภคผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง เช่น ลูกพรุน ลูกพลับ สามารถลดอาการระคายเคืองที่กระเพาะอาหารได้
  • หมู่ที่ 5 ไขมัน : ทานไขมันในเนื้อสัตว์จากหมู่ที่ 1 ไม่ควรทานไขมันจากนม และเนย ในปริมาณที่มากจนเกินไป

ปัจจุบันผู้คนต่างให้ความสำคัญกับการกินอาหารมากขึ้น มีการเลือกกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ หากต้องการทำอาหารด้วยเครื่องครัวดี ๆ เลือกซื้อ Tecnogas

ปัญหาเด็ดเกี่ยวกับอุปกรณ์ในครัวเรือนที่ต้องรีบแก้ไข

รวมปัญหาเด็ดเกี่ยวกับอุปกรณ์ในครัวเรือนที่ต้องรีบแก้ไข
อุปกรณ์ในครัวเรือน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่อยู่เป็นประจำเสมอ ไม่เช่นนั้นการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างไม่สะดวก แถมยังทำให้อุปกรณ์เหล่านั้นลดประสิทธิภาพการทำงานน้อยลง และอายุการใช้งานสั้นลงด้วย ซึ่งจะมีในเรื่องของตู้เย็น เครื่องล้างจาน เครื่องดูดควันและเตาแก๊สที่สามารถเกิดปัญหาได้อย่างไรบ้างนั้นตามไปอ่านพร้อม ๆ กันได้เลย ปัญหาอุปกรณ์ในครัวที่ต้องรีบแก้ไข

รวมปัญหาที่มักพบจากอุปกรณ์ในครัวเรือน

รวมปัญหาที่มักพบจากอุปกรณ์ในครัวเรือน

1. ตู้เย็นความจุไม่เพียงพอ

การยัดอาหารเข้าไปในตู้เย็นมากจนเกินไป ทำให้ไม่มีช่องระบายลมส่งผลให้ตู้เย็นไม่เย็นได้ ดังนั้นเพื่อให้ตู้เย็นคงระดับความเย็นดังเดิม ควรจัดระเบียบการวางของในตู้เย็นใหม่ ให้มีช่องระบายลมหรือลดการใส่ของอุปกรณ์ในครัวเรือนในตู้เย็นเกินความพอดี หรือหากประสบปัญหาตู้เย็นไม่เย็น ช่องฟรีซแช่แข็งไม่แข็งทั้งที่ปรับอุณหภูมิสุดแล้ว อาจเกิดจากการไม่ได้ทำความสะอาดตู้เย็น หรือทำแล้วไม่สะอาดเท่าที่ควร ให้ทำการกดปุ่มละลายน้ำแข็งเพื่อทำความสะอาดใหม่ให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม สำหรับตู้เย็นบางรุ่นที่ทำการกดละลายน้ำแข็งแล้วน้ำแข็งไม่ละลาย ห้ามใช้มีด หรือของแข็งแกะน้ำแข็งออก เพราะจะทำให้ท่อน้ำยาในตู้เย็นรั่ว ส่งผลให้ระดับความเย็นลดต่ำลงด้วย 

2. กลิ่นอับจากตู้เย็น

หากประสบปัญหาตู้เย็นมีกลิ่นอับ ควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่าภายในมีของสดที่เกิดการเน่าเสียแช่อยู่หรือไม่ จำเป็นต้องศึกษาว่าอะไรบ้างที่ควรแช่หรือไม่ควรแช่ในตู้เย็น และหากวันหนึ่งอาหารสดเริ่มส่งกลิ่นเหม็นควรตระหนักได้เองว่าต้องนำออกมาทิ้ง มิฉะนั้นของเน่าชิ้นเดียวอาจส่งกลิ่นเหม็นจนต้องล้างทำความสะอาดตู้เย็นได้ ดังนั้น เราควรรู้ว่าอายุการใช้งานของอาหารแต่ละประเภท ดูวันหมดอายุ หรือจะเขียนกำกับไว้บนถุงหรือภาชนะไว้ก่อนแช่ตู้เย็น เป็นต้น  ปัญหาเครื่องล้างจานทำงานไม่เต็มที่ หมั่นสังเกตเครื่องล้างจานของตัวเองอยู่เสมอว่ามีการทำงานปกติหรือไม่ หากพบว่าเครื่องล้างจานทำงานไม่เต็มที่ เริ่มต้นให้แก้ด้วยการกำจัดเศษอาหารออกจากจานให้เกลี้ยง รวมทั้งอุปกรณ์ในครัวเรือนอื่นๆ ก่อนที่จะใส่จานลงไปในเครื่อง เนื่องจากเครื่องล้างจานไม่ใช่ถังขยะ จึงไม่สามารถคัดแยกขยะออกจากตัวเครื่องเองได้ จำเป็นต้องช่วยแบ่งเบาภาระของเครื่องล้างจานด้วยการกำจัดเศษอาหารออกให้หมดก่อน การทำแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยทำให้เครื่องล้างจานได้อย่างสะอาดหมดจด แต่ยังช่วยยืดอายุเครื่องล้างจานให้ทำงานได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย นอกจากการแยกเศษอาหารให้เกลี้ยง เราควรหมั่นทำความสะอาดเครื่องล้างจานอยู่เสมอ หมั่นเช็กสภาพสายไฟจะช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

4. เตาแก๊สไฟไม่แรง

เมื่อเตาแก๊สไฟไม่แรง ให้ลองตรวจสอบว่าแก๊สหมดหรือเปล่า หรือเปิดวาล์วที่หัวถังแล้วหรือไม่ หากดูให้แน่ใจแล้วว่ายังมีแก๊สอยู่ ให้ลองเปิดหัวเตาว่าจุดติดไหม ในกรณีที่หัวจุดไม่มีประกายไฟ สามารถเรียกช่างให้มาซ่อมแซมได้ แต่หากอยากแก้ด้วยตัวเองให้หาซื้อปืนไฟแช็คมาใช้ทดแทนได้ แต่ให้ระมัดระวังการใช้ปืนไฟแช็คเป็นพิเศษ ห้ามเผลอเปิดแก๊สทิ้งไว้แล้วจุดปืนไฟแช็ค เพราะจะทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้นั่นเอง ปัญหาเตาแก๊สไฟไม่แรง

5. ท่อดูดควันทำงานไม่เต็มระบบ

ปัญหาท่อดูดควันทำงานไม่เต็มระบบ สาเหตุอาจเกิดจากควันและกลิ่นอาหารคละคลุ้งอยู่ภายในครัว ทำให้เครื่องดูดควันไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ ควันจากการประกอบอาหารที่กระจายไปทั่วบริเวณห้องครัวทำให้หายใจไม่ออก สามารถแก้ได้ด้วยการทำความสะอาดท่อดูดควัน การล้างท่อดูดควันไม่ใช่เรื่องยาก ทำได้โดยการถอดท่อแล้วนำออกมาล้างให้สะอาด ท่อดูดควันก็จะกลับมาทำงานอย่างเป็นปกติ แต่ในกรณีที่เครื่องไม่ทำงานเนื่องจากระบบของตัวเครื่องเอง ให้รีบแจ้งช่างที่มีความเชี่ยวชาญมาถอดซ่อมท่อในทันที รวมปัญหาที่มักพบจากอุปกรณ์ในครัวเรือน บทความข้างต้นแสดงให้เห็นวิธีการแก้ปัญหาอุปกรณ์ในครัวเรือนต่าง ๆ ที่สามารถแก้ได้ด้วยตนเอง หากพบเจอเครื่องใช้ในครัวเรือนมีปัญหาสามารถนำวิธีแก้เฉพาะหน้าไปปรับได้ ช่วยลดค่าใช้จ่ายไม่ต้องจ้างช่างมาซ่อม ที่สำคัญทำให้เราได้เรียนรู้เทคนิคและรู้จักป้องกัน รักษาเครื่องครัวให้คงอยู่ในสภาพเดิมยาวนานที่สุดด้วย หากต้องการทำอาหารด้วยเครื่องครัวดี ๆ เลือกซื้อ Tecnogas ได้เลย

รวมเทคนิคการเก็บอาหารในตู้เย็นเก็บได้นานยิ่งกว่าเดิม

รวมเทคนิคการเก็บอาหารในตู้เย็นเก็บได้นานยิ่งกว่าเดิม
สำหรับใครที่ชอบซื้อวัตถุดิบรวมไปถึงอาหารต่างๆ เข้าบ้านเป็นประจำอยู่บ่อยๆ ตู้เย็นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถป้องกันการเน่าเสียของวัตถุดิบรวมไปถึงอาหารได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในบทความนี้จะมาว่าด้วยเรื่องของเทคนิคการเก็บอาหารในตู้เย็น ว่าแต่ละชั้น แต่ละช่องของในตู้เย็นควรเก็บอะไรไว้ตรงไหน เพราะสิ่งนี้สามารถยืดอายุวัตถุดิบหรืออาหารที่นำมาแช่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันดีกว่าว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง วิธีเก็บอาหารในตู้เย็น

เทคนิคการเก็บอาหารในตู้เย็น เก็บได้นาน

1. ตำแหน่งแช่ช่องฟรีซ

สำหรับตำแหน่งแช่ช่องฟรีซ จะเหมาะกับเนื้อสดไม่ว่าจะเป็นหมู เป็ด ไก่ น้ำแข็ง สัตว์จากทะเล ไอศกรีม หรืออาหารที่จำเป็นต้องคงความแช่แข็งก็สามารถเลือกใช้ในช่องฟรีสได้ ที่สำคัญยังมีผัก ผลไม้บางชนิดก็เหมาะกับการแช่แข็งอีกด้วย โดยการแช่อยากให้หาบรรจุภัณฑ์ในการใส่ช่องฟรีซ เพื่อป้องกันกลิ่นไม่ให้ออก รวมทั้งยังสามารถจัดระเบียบให้กับช่องฟรีซได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่ถ้าหากได้นำของจากช่องฟรีซออกมาแล้ว ควรทานให้หมดในทันที อย่ากลับไปแช่ใหม่เพราะอายุที่สามารถจะทานได้สั้นลงแล้วนั่นเอง

2. ตำแหน่งชั้นวางหลังประตู

การเก็บอาหารในตู้เย็น ในส่วนตำแหน่งของชั้นวางหลังประตู ซึ่งต้องบอกว่าเวลาเปิดตู้เย็นใช้งานบ่อยๆ ทำให้ส่วนนี้มีอุณหภูมิเปลี่ยนได้ไวและง่ายที่สุด ดังนั้นของที่ควรนำมาวางควรเป็นของที่มีอายุการกินที่นาน อย่างเช่น เครื่องดื่มทุกชนิด รวมไปถึงเครื่องปรุงต่างๆ ที่สามารถวางไว้ด้านบนได้ และสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงไม่ควรทำเพราะจะทำให้อายุการกินที่สั้นลงนั่นก็คือการนมหรือไข่มาแช่ในตำแหน่งชั้นวางหลังตู้เย็น

3. ตำแหน่งชั้นวางด้านบน

สำหรับชั้นบนนับว่าเป็นตำแหน่งที่สามารถหยิบอาหารหรือวัตถุดิบต่างๆ เข้าออกง่ายที่สุด ซึ่งในจุดนี้ถือว่ามีอุณหภูมิที่ไม่ได้เย็นจนเกินไป จึงเหมาะแก่การวางอาหารพร้อมทาน หรือขนมต่างๆ พร้อมทาน รวมไปถึงเนื้อสดและผลไม้ที่พร้อมทานในเร็ววันด้วย แต่ในจุดนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอยู่ในถุง อยู่ในกล่อง หรืออยู่ในบรรจุภัณฑ์อื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นอาหารมารวมกัน ทำให้ตู้เย็นเกิดกลิ่นเหม็นอับได้ เก็บอาหารในตู้เย็นให้อยู่ได้นาน

4. ตำแหน่งชั้นวางด้านล่าง

สำหรับตำแหน่งชั้นวางด้านล่างหรือก็คือเหนือลิ้นชักแช่ผัก จะเป็นจุดที่ตู้เย็นปล่อยความเย็นออกมาได้มากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่ควรเลือกวางคือสิ่งที่เสียง่าย ไม่ว่าจะเป็น นม ไข่ ชีส เนื้อสด หรือแม้แต่โยเกิร์ต จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางในส่วนนี้ ถ้าวางในตำแหน่งอื่นอาจทำให้เสียไวก่อนวันหมดอายุที่ได้มีการบอกไว้นั่นเอง ดังนั้นการเลือกแช่จุดนี้จับเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรีเช็คของบ่อยๆ เพื่อทานได้ก่อนจะถึงวันหมดอายุอีกด้วย

5. ตำแหน่งลิ้นชักแช่ผัก

ในส่วนของผักหรือผลไม้การเก็บอาหารในตู้เย็นควรเลือกตำแหน่งลิ้นชักแช่ผัก ซึ่งจุดนี้จะช่วยทำให้ผักและผลไม้คงความชื้นได้เป็นอย่างดีไม่แห้ง สามารถยืดอายุการทานได้มากยิ่งขึ้น โดยแนะนำว่าก่อนจะแช่ตรวจสอบส่วนที่มีการเน่าเสียหรือไม่ หรือมีใบที่่เหลืองจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำออก ไม่เช่นนั้นอาจจะส่งผลต่อผักอื่นๆ ให้เน่าเสียไวได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยตำแหน่งนี้ควรหากล่องมาใส่ผักหรือผลไม้แต่ละชนิดเอาไว้

6. เลี่ยงการวางของบนตู้เย็น

สำหรับด้านนอกบนตู้เย็นที่เหมือนมีพื้นที่ให้วางของได้ ซึ่งแนะนำว่าเลี่ยงการวางของบนตู้เย็น การวางอาหารหรือวัตถุดิบต่างๆ ในจุดนี้เป็นการดีที่สุด เพราะในจุดนี้เป็นจุดที่ตู้เย็นจะปล่อยไอความร้อนออกมานั่นเอง แต่ถ้าหากบ้านใครมีพื้นที่แคบแนะนำว่าเอาของเล็กๆ น้อยๆ อย่างกระดาษทิชชู่ ผ้าเช็ดมือ หรืออุปกรณ์ในครัวต่างๆ มาวางแทนดีกว่า แต่อย่าวางหนาแน่นจนเกินไป เทคนิคการเก็บอาหารในตู้เย็นให้อยู่นาน และแล้วก็จบกันไปแล้วกับเทคนิคการเก็บอาหารในตู้เย็น ที่ทุกคนควรนำไปใช้ทั้ง 6 ข้อเลย เพราะเทคนิคที่ได้แนะนำไปนั้นนอกจากยืดอายุการใช้งานของวัตถุดิบและอาหารได้แล้ว ยังเป็นการจัดระเบียบให้กับตู้เย็นเพื่อให้หาของได้ง่ายอีกด้วย ถ้าหากใครกำลังมองหาเครื่องใช้ในครัวที่มีคุณภาพ เพิ่มการใช้งานที่ง่ายและดีกว่าเดิมสามารถเข้ามาดูของได้ที่เว็บ Tecnogas  กันได้เลย

5 เทคนิควิธีเลือกตู้ใส่เตาอบให้ลงล็อกใช้งานได้จริง

5 เทคนิควิธีเลือกตู้ใส่เตาอบ
สำหรับใครที่เลือกซื้อ เตาอบแบบฝังเฟอร์นิเจอร์ มาใช้งาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกตู้ใส่เตาอบที่สามารถใส่เตาอบที่ซื้อไว้ได้เป็นอย่างดี แต่เชื่อเลยว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่มั่นใจควรเลือกซื้อตู้แบบไหนและควรเลือกซื้ออย่างไร ในบทความนี้ Tecnogas มีคำตอบให้กับทุกคนอย่างแน่นอน โดยเทคนิคเลือกตู้ใส่เตาอบสามารถใช้งานได้จริงมีรายละเอียดดังต่อไปนี้เทคนิคเลือกตู้ใส่เตาอบให้สามารถใช้งานได้จริง

5 เทคนิคเลือกตู้ใส่เตาอบให้สามารถใช้งานได้จริง

1. ตู้ใส่เตาอบต้องสามารถใส่เตาอบได้พอดี

เบื้องต้นสิ่งที่ต้องคำนึงเป็นอันดับแรกก็คือเลือกซื้อตู้ใส่เตาอบต้องสามารถใส่เตาอบได้พอดี โดยจะต้องเช็กขนาดที่เตาอบที่ได้ซื้อไว้ว่ามีขนาดเท่าไหร่ สามารถลงใส่ช่องของตู้ได้พอดีหรือไม่ โดยปกติแล้วการเลือกตู้จำเป็นจะต้องรู้ตำแหน่งที่วางในห้องครัวด้วยว่าวางตรงไหนเหมาะที่สุด และแน่นอนว่าสีของตู้ควรเหมือนกับเคาน์เตอร์ส่วนอื่นๆ อีกด้วย เพื่อให้กลมกลืนกับห้องครัวได้มากที่สุด ซึ่งหากร้านที่มีการทำตู้ใส่เตาแบบบิ้วอินก็จะมีขนาดไซซ์พื้นฐานของช่องเตาอบส่วนใหญ่อยู่แล้ว

2. ตู้ใส่เตาอบต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรง

สิ่งที่ต้องคำนึงถัดมาก็คือการเลือกตู้ใส่เตาอบต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรงและทนทานเป็นอย่างมาก ถ้าเลือกใช้วัสดุที่เปราะบางจะไม่สามารถรับน้ำหนักของเตาอบได้สุดท้ายก็จะมีการปริแตกออกมา อาจก่อให้เกิดความเสียหายให้กับเตาอบโดยตรง การเลือกโครงสร้างที่แข็งแรงสามารถดูได้จากความหนาของตัววัสดุว่ามีความคงทนแค่ไหน สามารถวัดได้ว่ารับน้ำหนักได้อยู่ที่เท่าใด ซึ่งปกติวัสดุที่ใช้จะเป็นไม้เนื้อแข็งที่สามารถรับน้ำหนักของเตาอบได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ในจุดนี้แนะนำให้ถามผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกซื้อจะเป็นการดีที่สุด

3. ตู้ใส่เตาอบต้องประกอบด้วยตะปูเกลียว

เมื่อการเลือกตู้ใส่เตาอบจำเป็นที่จะต้องแข็งแรงตัวยึดที่ใช้ในการประกอบตู้ก็ต้องมีความแข็งแรงด้วยเช่นกัน โดยแนะนำว่าให้เลือกตะปูแบบเกลียว ยึดตามตำแหน่งต่างๆ ที่มีคู่มือให้ไว้ ต้องยึดตามตำแหน่งทุกจุดเพื่อเสริมความมั่นคงให้กับตู้ใส่เตาอบได้มากยิ่งขึ้น เพิ่มความแข็งแรง และตู้ไม่เอนเอียงได้เป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถรับน้ำหนักได้ดีที่สุด เมื่อเทียบกับการประกอบแบบน็อกดาวน์ที่มีความแข็งแรงน้อยกว่า เมื่อใช้ไปนาน ๆ อาจจะไม่สามารถรับน้ำหนักของเตาได้นั่นเองเทคนิคเลือกตู้ใส่เตาอบ

4. ตู้ใส่เตาอบต้องปิดผิวด้วยลามิเนต

ถึงแม้วัสดุจะเป็นไม้แต่จำเป็นจะต้องเคลือบด้วยพื้นผิวลามิเนตทั้งภายนอกและภายในตามแต่ของสีที่เลือกให้ใกล้เคียงกับครอบครัว เพราะบริเวณที่วางเตาอบจะเป็นจุดที่มีการระบายความร้อนอยู่บ่อยๆ เมื่อมีคราบสามารถเช็ดถูได้ง่ายสามารถทนน้ำได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญทนต่อการขีดข่วนได้เป็นอย่างมาก ซึ่งผิวลามิเนตนั้นนับเป็นวัสดุที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี และสามารถมั่นใจได้ว่าตู้ใส่เตาอบที่เลือกซื้อมีอายุการใช้งานที่ยาวนานอย่างแน่นอน

5. อุปกรณ์ฟิตติ้งของตู้ใส่เตาอบต้องใช้วัสดุที่ได้มาตรฐาน

สุดท้ายกับการเลือกตู้ใส่เตาอบคุณสามารถเลือกตู้ที่มีออปชั่นเสริมต่างๆ ได้อย่างลิ้นชักใต้ตู้เตาอบ ซึ่งมีส่วนช่วยให้คุณจัดเก็บของในครัวได้ดีและสะดวกยิ่งขึ้น โดยอุปกรณ์ฟิตติ้งที่จะเป็นแบบมาตรฐานสามารถใช้มือจับดึงออกใช้งานได้อย่างสบายและมีความแข็งแรงทนทาน รวมไปถึงรางเลื่อนลิ้นชักเองก็ควรสามารถดึงออกง่ายอย่างคล่องแคล่ว เพื่อทำให้การใช้ครัวเป็นเรื่องที่ง่ายมากยิ่งขึ้น ตู้ใส่เตาอบต้องใช้วัสดุที่ได้มาตรฐาน และนี่ก็คือเทคนิคในการเลือกตู้ใส่เตาอบพื้นฐานที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้ แต่เมื่อรู้แล้วใช่ว่าจะสามารถสั่งซื้อจากทางออนไลน์ได้เลย แนะนำว่าต้องไปดูของจริงเพื่อประเมินขนาดต่างๆ รวมไปถึงสิ่งอื่นๆ ที่ได้มีการแนะนำเบื้องต้นไปด้วย และถ้าหากใครกำลังหาเตาอบแบบฝังเฟอร์นิเจอร์ ที่มีดีไซน์สวยไม่ตกยุคสามารถเลือกมาชมที่เว็บไซต์ Tecnogas กันได้เลย การันตีคุณภาพมาตรฐานจากอิตาลี

Follow Us

TEL. 02-274-3434
EMAIL : webmaster@sbo-brand.com

The Signature Brand Co., Ltd. 
771 Pracha Uthit Road, Samsen Nok,Huai Khwang District, Bangkok 10310