เลือกทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด ช่วยลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น

อาหารตามกรุ๊ปเลือด

รู้หรือไม่ว่าวิธีการลดน้ำหนัก นอกจากการเลือกรับประทานอาหารคลีน ปรุงน้อย และการออกกำลังกายแล้ว อีกหนึ่งวิธีที่ค่อนข้างได้รับความนิยม และเห็นผลเป็นอย่างมาก คือการเลือกรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด นอกจากจะเป็นการช่วยรักษารูปร่าง ทำให้มีน้ำหนักและรูปร่างที่ดีแล้ว การรับประทานอาหารในรูปแบบนี้ ยังมีส่วนช่วยให้สุขภาพดีอีกด้วย สำหรับคนที่อาจจะยังไม่เคยได้ยินวิธีนี้มาก่อน มาทำความรู้จักกันว่าการเลือกรับประทานอาหารรูปแบบนี้ คืออะไร

ทำไมถึงควรเลือกทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด

เลือกทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด

เทรนด์ของการรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดนั้น เป็นเทรนด์การรับประทานอาหารที่แพร่มาจาก Dr.Perer J.D’Adammo ผู้ที่ได้รับรางวัลแพทย์ธรรมชาติบำบัดยอดเยี่ยม จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเขาได้ทำการศึกษาเรื่องราวที่ว่านี้มานานกว่า 30 ปี และได้ทำการสรุปเอาไว้ในหนังสือ Eat Right for your Type ว่า กรุ๊ปเลือดแต่ละกรุ๊ป มีสารเคมีในเลือดที่แตกต่างกันออกไป หากรับประทานอาหารที่ไม่ตรงกับกรุ๊ปเลือด จะทำให้การทำงานของระบบย่อยอาหาร การเผาผลาญ ความสมดุลของฮอร์โมน และการสร้างอินซูลินถูกรบกวน หากเลือกทานอาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด จะทำให้ระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี อีกทั้งผลพลอยได้ที่สำคัญ คือรูปร่างและน้ำหนักที่พึงพอใจ

กรุ๊ปเลือดนี้กินอาหารอะไรถึงจะดี

เลือกทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด

เพื่อให้คุณสามารถที่จะทานอาหารได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องทรมานตัวเองจากการอดอาหาร หรือการทานน้อยจนไม่อิ่มท้อง เราจึงได้นำเอาข้อมูลเกี่ยวกับการอาหารตามกรุ๊ปเลือดต่างๆ นำเอามาเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้แก่คุณดังนี้

แนะนำอาหารตามกรุ๊ปเลือด A

สำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป A อาหารที่สามารถย่อยได้ง่าย ได้แก่ ปลา, ผักสด, ผลไม้ และพวกธัญพืชต่างๆ ส่วนอาหารที่แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยง จะเป็นกลุ่มของ เนื้อวัว, เนื้อหมู, เป็ด, กุ้ง, ปู, ปลาดุก, หอยนางรม, หอยแครง รวมถึงนม และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำมาจากนม 

Tip เพิ่มเติม : ในการลดน้ำหนัก หากเลือกทานเป็นมังสวิรัติจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้เร็ว 

แนะนำอาหารตามกรุ๊ปเลือด B

สำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป B สามารถทานอาหารได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์, ผัก, ผลไม้, นม หรือแม้แต่อาหารทะเลก็สามารถทานได้ แต่ความเสียเปรียบของคนกรุ๊ปเลือด B คือเป็นคนอ้วนง่าย และภูมิต้านทานไม่ดี ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกทานอะไรจะต้องเลือกทานในปริมาณที่พอเหมาะ

Tip เพิ่มเติม : หากต้องการลดน้ำหนัก ให้หลีกเลี่ยงขนมปังทุกชนิด และธัญพืชชนิดต่างๆ รวมถึงข้าวโพด, งา และมะเขือเทศ

แนะนำอาหารตามกรุ๊ปเลือด AB

สำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB อาหารตามกรุ๊ปเลือดที่มีความเหมาะสม แนะนำเป็นปลา, นม, เต้าหู้, ผัก และผลไม้ คนกรุ๊ปเลือดนี้อาจจะทานเนื้อสัตว์ได้น้อยกว่าคนกรุ๊ปเลือด B และอาจจะทานผักได้ไม่เท่ากับคนกรุ๊ปเลือด A เนื่องจากมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยง ข้าวโพด, ถั่วแดง และธัญพืช

Tip เพิ่มเติม : ในการรับประทานขนมปังหรือข้าว สามารถทานได้เพราะคนกรุ๊ปนี้ไม่อ้วนง่าย แต่ต้องทานในปริมาณที่พอเหมาะ และควรออกกำลังกายเบาๆ ควบคู่ไปด้วย

แนะนำอาหารตามกรุ๊ปเลือด O

สำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O เป็นกรุ๊ปเลือดที่โชคดีกว่ากรุ๊ปเลือดอื่นๆ เพราะคนกรุ๊ปเลือด O สามารถที่จะรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด และสามารถทานผักผลไม้ได้ในปริมาณมาก แต่หากต้องการลดน้ำหนัก แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้ง, ถั่ว, น้ำตาล และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำมาจากนม

Tip เพิ่มเติม : คนเลือดกรุ๊ป O ควรเน้นรูปแบบการออกกำลังกาย ที่ต้องใช้แรงมากๆ เช่น วิ่งมาราธอน, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ และเต้นแอโรบิก เป็นต้น เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับระดับฮอร์โมนไทรอยด์ที่ไม่คงที่ อาจทำให้อ้วนได้ง่าย

สรุปบทความ

สำหรับผู้ที่สนใจจะเลือกทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด เพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนัก หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ แนะนำเลยว่าให้เลือกทำอาหารเพื่อรับประทานเอง เนื่องจากใน ห้องครัว ของคุณ คุณจะสามารถกำหนดได้ว่าจะต้องใช้กรรมวิธีใดในการประกอบอาหาร ใช้เครื่องปรุงอะไรในการปรุงรส และที่สำคัญหากอยากลดน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนัก อย่าลืมที่จะออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

รวม 3 สูตรหมักอกไก่ให้นุ่มเอาใจสายกินคลีน ทานง่าย ไม่ฝืดคอ

3 สูตรหมักอกไก่ให้นุ่ม กินง่าย

สำหรับคนที่รักสุขภาพแล้ว “อกไก่” น่าจะเป็นแหล่งโปรตีนที่คุ้นเคยกันดี เนื่องจากอกไก่เป็นเมนูที่ทำให้ไม่อ้วน แถมยังช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อให้กับผู้ที่ออกกำลังกายด้วย แต่อย่างที่เรารู้ๆ กันว่า อกไก่นั้นเป็นเนื้อสัตว์ที่มีความแห้งค่อนข้างสูง และหากคุณเพิ่งเข้าวงการดูแลสุขภาพ การทานอกไก่ต้ม อกไก่นึ่ง หรืออกไก่ปั่นแบบไม่ได้ปรุงรสอะไร ก็อาจจะทานยากไปบ้าง ดังนั้นเราจึงมีสูตรหมักอกไก่ที่ทำให้อกไก่อร่อยขึ้น ทานง่ายขึ้น นำเอามาฝากกัน

สารอาหารในอกไก่ที่ถูกใจสายกินคลีน

อกไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณโปรตีนสูง ซึ่งโปรตีนคือสิ่งที่ร่างกายของเราจะขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด โดยอกไก่จะให้พลังงานที่พอเหมาะในแต่ละวัน สำหรับวิธีการคำนวณโปรตีนที่ต้องการในแต่ละวันนั้น สามารถคำนวณได้จากการนำเอาน้ำหนักตัวไปหาค่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องมีการนำเอากิจกรรม หรือไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมาคิดประกอบด้วย เพราะร่างกายของแต่ละคน อาจมีความต้องการโปรตีนในแต่ละวัน ที่แตกต่างกันออกไป

3 สูตรหมักอกไก่ให้นุ่ม ทานง่าย ไม่ฝืดคอ

ตามที่เราได้มีการเกริ่นไปในตอนต้นแล้วว่า วันนี้เราจะมาเอาใจสายรักสุขภาพ ที่เริ่มหันมาทานอกไก่ให้สามารถทานอกไก่ได้ง่ายขึ้น เราจึงได้นำเอา 3 สูตรหมักอกไก่ที่จะทำให้อกไก่นุ่ม มีรสชาติอร่อย ทานง่าย ไม่ฝืดคอ นำเอามาฝากกัน ซึ่งสูตรที่เรานำเอามาฝากนี้ สามารถนำเอาไปปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมตามความชอบของตัวเองได้ไม่มีถูกผิด แต่แนะนำว่าให้ใช้เครื่องปรุงอย่างพอดี หากไม่อยากให้พลังงานแคลอรีสูงจนเกินไป

1. สูตรหมักอกไก่นุ่มพริกไทยดำ

สูตรหมักอกไก่นุ่มพริกไทยดำ

วัตถุดิบสำหรับสูตรหมักอกไก่นุ่มพริกไทยดำ

  • อกไก่ปริมาณตามความต้องการของแต่ละบุคคล
  • นมสดรสจืด 100 มิลลิลิตร
  • พริกไทยดำบด 1 ช้อนชา
  • เบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชา
  • เกลือ 1:4 ช้อนชา

วิธีการหมักอกไก่นุ่มพริกไทยดำ

  1. นำเอาส่วนผสมทั้งหมด มาคลุกหมักกับอกไก่ที่เตรียมเอาไว้
  2. นำเอาอกไก่ที่หมักใส่กล่องที่มีฝาปิด
  3. ใส่ไว้ในตู้เย็นช่องปกติ 4 ชั่วโมง หรือจะหมักเก็บไว้ข้ามคืนก็ได้เช่นกัน
  4. ตั้งน้ำให้เดือด นำเอาอกไก่ที่หมักเอาไว้ไปต้ม หรือย่างรับประทานตามความชอบ

2. สูตรหมักอกไก่นุ่มนมสด

วัตถุดิบสำหรับสูตรหมักอกไก่นมสด

  • อกไก่ปริมาณตามความต้องการของแต่ละบุคคล
  • พริกไทยเม็ด 2 ช้อนชา
  • เกลือป่น 2 ช้อนชา
  • นมสด 5 ช้อนโต๊ะ

วิธีการหมักอกไก่นมสด

  1. นำอกไก่มาจิ้มด้วยส้อมให้ทั่วทั้งชิ้น 
  2. นำพริกไทยและเกลือ มาโขลกรวมกันให้พอแหลก
  3. เอาอกไก่ที่เตรียมไว้ มาคลุกรวมกับพริกไทย, เกลือ และนมสด
  4. นำไก่ที่หมักกับเครื่องปรุงเก็บใส่กล่องปิดฝา และแช่ช่องฟรีซเก็บเอาไว้ เพื่อให้ส่วนผสมเข้าเนื้อแนะนำให้หมักข้ามคืน
  5. เมื่อจะนำเอามารับประทาน ให้นำอกไก่ไปละลาย และเลือกปรุงอาหารตามวิธีที่ต้องการได้เลย จะใช้ เตาแก๊ส ในการประกอบอาหาร หรือใช้เตาอบก็ได้เช่นเดียวกัน

3. สูตรหมักอกไก่นุ่มสมุนไพร

สูตรหมักอกไก่นุ่มสมุนไพร

วัตถุดิบสำหรับสูตรหมักอกไก่สมุนไพร

  • อกไก่ปริมาณตามความต้องการของแต่ละบุคคล
  • น้ำส้มสายชูบัลซามิก 1:4 ถ้วย
  • น้ำมะนาว 1 ลูก
  • น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
  • มัสตาร์ด 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ
  • วูสเตอร์ซอส 1 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับปริมาณตามชอบ
  • ใบไทม์แห้ง
  • ออริกาโนแห้ง
  • เกลือ
  • พริกไทยดำบด

วิธีการหมักอกไก่สมุนไพร

  1. นำวัตถุดิบส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้มาผสมให้เข้ากัน และนำเอาอกไก่ลงไปคลุก
  2. อกไก่ที่ทำการหมักเรียบร้อยแล้ว ให้นำเอาไปแช่ตู้เย็นทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือข้ามวัน
  3. นำเอาอกไก่ไปย่างด้วยกระทะ หรือย่างในเตาอบ พร้อมเสิร์ฟ

สรุปบทความ

เป็นอย่างไรบ้างกับสูตรหมักอกไก่ทั้ง 3 สูตร ที่เราได้นำเอามาฝากกันในวันนี้ สามารถทำตามได้ง่ายๆ ไม่ยากจริงหรือไม่ สำหรับใครที่เป็นสายคลีน หรือต้องการจะเลือกทานอาหารแนวสุขภาพ อยากเริ่มต้นที่จะทานอกไก่ สามารถนำเอาสูตรการหมักข้างต้น ไปปรับใช้เพิ่มหรือลดอัตราส่วนผสมได้ตามสะดวก แต่นอกเหนือจากสูตรการหมักไก่ที่เรานำเอามาฝากในวันนี้แล้ว ที่เว็บไซต์เรายังมีสูตรอาหารอื่นๆ นำเอามาฝากคุณผู้อ่านอยู่เสมอ หากคุณไม่อยากพลาดสูตรอาหารอร่อยๆ สามารถเข้าชมเว็บไซต์ของเรา และเลือกสูตรอาหารที่สนใจไปทำตามกันได้เลย

แจก 6 เมนูแตงโมกินง่าย หวานฉ่ำ

แจกเมนูแตงโม

ในช่วงที่อากาศร้อนๆ แบบนี้ หลายคนคงกำลังมองหาเมนูดับร้อนกันอยู่จริงไหม ซึ่งแน่นอนว่า “แตงโม” ถือเป็นเมนูดับร้อนที่ค่อนข้างดีมากทีเดียว เพราะนอกจากจะตอบโจทย์ในเรื่องของความสดชื่นได้แล้ว ยังเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย และที่สำคัญแตงโม สามารถที่จะนำเอาไปทำเมนูแตงโมได้ค่อนข้างหลากหลาย จะมีอะไรบ้างนั้นไปดู

6 เมนูแตงโมทำง่าย คลายร้อน

สำหรับใครที่คิดไม่ออกว่าแตงโม สามารถนำเอาไปทำเป็นเมนูแตงโมคลายร้อนอะไรได้บ้าง นอกจากการนำเอาไปแช่ตู้เย็น วันนี้เราได้รวบรวม 6 เมนูคลายร้อน ที่รับประกันเลยว่าอร่อย ไม่ว่าคุณจะทำเพื่อรับประทานเอง หรือทำให้คนอื่นๆ รับประทานด้วย ก็อร่อยถูกใจ เตรียมรับคำชมได้เลย

1. บิงซูแตงโม

สูตรบิงซูแตงโม

เมนูแตงโมสุดครีเอทเมนูแรก ที่เราขอนำเสนอในวันนี้ ได้แก่ “บิงซูแตงโม” เมนูนี้สามารถทำได้ง่ายๆ มีวัตถุดิบและวิธีทำดังนี้

วัตถุดิบทำบิงซูแตงโม

  • แตงโม
  • น้ำเชื่อม 230 กรัม
  • นมข้นหวานตามความชอบ
  • น้ำแข็ง
  • วิปปิ้งครีม 230 กรัม
  • นมสด 230 กรัม

วิธีทำบิงซูแตงโม

  1. นำวิปปิ้งครีม, น้ำเชื่อม และนมสดมาผสมให้เข้ากัน และเทใส่ลงไปในพิมพ์น้ำแข็ง
  2. นำเอาพิมพ์น้ำแข็งไปแช่ช่องแช่แข็ง
  3. หากนมที่แช่ไว้กลายเป็นน้ำแข็งแล้ว ให้แกะออกจากพิมพ์ และนำเอาไปใส่เครื่องทำน้ำแข็งไส
  4. นำแตงโมที่แช่เย็นไว้จัดเรียง ให้กลายเป็นท็อปปิ้งทานคู่กับน้ำแข็งไส เพื่อความสดชื่น
  5. สามารถราดนมข้นหวานเพิ่ม ตามความชอบได้เลย

2. ไอศกรีมแตงโม

หากคุณอยากได้เมนูสดชื่น ทำง่ายๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเยอะ เราขอเสนอไอศกรีมแตงโม มีวัตถุดิบและวิธีทำดังนี้

วัตถุดิบทำไอศกรีมแตงโม

  • เนื้อแตงโมหั่น
  • น้ำเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ
  • นมมะพร้าว
  • ช็อกโกแลตชิพ

วิธีทำไอศกรีมแตงโม

  1. นำเนื้อแตงโม, น้ำตาลทราย, น้ำเลมอน ไปปั่นให้ละเอียด
  2. เมื่อได้เนื้อของไอศกรีมแล้ว ให้นำเอาไปใส่ในพิมพ์ไอศกรีมแท่ง นำช็อกโกแลตชิพโรยเพิ่มตามความชอบ
  3. แช่ช่องแช่แข็งประมาณ 3 ชั่วโมง
  4. นำนมมะพร้าวกับน้ำตาลทราย มาผสมเข้าด้วยกัน และนำเอาไปราดใส่ไอศกรีมอีกที
  5. แช่ช่องแช่แข็งต่ออีกประมาณ 45 นาที หรือมากกว่านั้น
  6. เมื่อไอศกรีมแข็งดีแล้ว ก็สามารถนำมารับประทานได้เลย

3. วุ้นแตงโมผลไม้รวม

อีกหนึ่งเมนูแตงโมเย็นๆ ที่แนะนำว่าไม่ควรพลาด สำหรับคนที่ชอบทานผลไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราขอแนะนำวุ้นแตงโมผลไม้รวม โดยผลไม้ต่างๆ ที่นำเอามาใส่ สามารถเลือกได้ตามความชื่นชอบ

วัตถุดิบทำวุ้นแตงโม

  • แตงโม
  • ผลไม้ต่างๆ ตามชอบ
  • ผงวุ้นครึ่งซอง

วิธีทำวุ้นแตงโม

  1. ตักแยกเนื้อแตงโมออกจากเปลือก โดยส่วนเปลือกให้เก็บไว้สำหรับทำเป็นภาชนะใส่
  2. นำเอาผลไม้ต่างๆ ที่เตรียมไว้ พร้อมกับแตงโมหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เอาไปเรียงใส่ให้เต็มเปลือกแตงโม
  3. ต้มผงวุ้นให้เดือด เทวุ้นใส่ลูกแตงโมให้เต็ม และนำเอาไปแช่เย็นรอเซ็ตตัว
  4. นำเอาวุ้นแตงโมที่แช่เย็นไว้มาตัดให้เป็นชิ้น ขนาดน่ารับประทานก่อนเสิร์ฟ

4. น้ำแตงโมปั่น

สูตรน้ำแตงโมปั่น

หากไม่อยากเสียเวลาไปกับขั้นตอนการทำที่วุ่นวาย น้ำแตงโมปั่นก็ถือเป็นเมนูง่ายๆ ที่สามารถคลายร้อนได้เป็นอย่างดี เพราะเพียงแค่นำเอาวัตถุดิบมาปั่นรวมก็สามารถดื่มได้แล้ว

วัตถุดิบน้ำแตงโมปั่น

  • เนื้อแตงโม 120 กรัม
  • น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำแข็งตามชอบ
  • เกลือป่นเล็กน้อย

วิธีทำน้ำแตงโมปั่น

  1. นำวัตถุดิบที่เตรียมไว้ ใส่ในเครื่องปั่น
  2. ปั่นให้ได้ความละเอียดตามชอบ เป็นอันเสร็จ

5. มิลค์เชคแตงโม

ถ้าอยากได้ความสดชื่น และความหวานมัน แนะนำเมนูแตงโมที่เป็นเครื่องดื่มสุดฮิต อย่าง “มิลค์เชคแตงโม” วิธีทำนั้นง่ายแสนง่าย หากวัตถุดิบพร้อม มีเครื่องปั่น ก็สามารถทำได้เลยในทันที

วัตถุดิบมิลค์เชคแตงโม

  • แตงโมหั่น 210 กรัม (แนะนำให้แช่เย็น)
  • น้ำเชื่อม 1 ช้อนโต๊ะ
  • กะทิ 1 ถ้วยตวง
  • กลิ่นวานิลลา 1 เล็กน้อย
  • ช็อกโกแลตชิพตามชอบ

วิธีทำมิลค์เชคแตงโม

  1. นำส่วนแตงโม, น้ำเชื่อม, และกะทิ มาปั่นรวมกันให้ละเอียด
  2. ใส่กลิ่นวานิลลาลงไป และปั่นต่อเล็กน้อย แค่ให้พอเข้ากัน
  3. เทมิลค์เชคที่ได้ใส่แก้ว และนำเอาช็อกโกแลตชิพมาโรยเพิ่ม ถือเป็นอันเสร็จ

6. ข้าวแต๋นน้ำแตงโม

อีกหนึ่งเมนูแตงโมที่เรานำเอามาฝาก คือเมนูข้าวแต๋นน้ำแตงโม โดยเมนูนี้จะแตกต่างไปจากเมนูอื่นๆ ตรงที่ไม่ใช่เมนูเครื่องดื่ม และไม่ใช่เมนูเย็น แต่เพราะเมนูนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูอร่อยที่ห้ามพลาด เราจึงอยากนำเอามาแนะนำเพิ่มเติมให้กับคุณ สำหรับเมนูนี้ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องปั่น แต่จะต้องมี เตาแก๊ส มาเป็นอุปกรณ์ในการทำแทน

วัตถุดิบข้าวแต๋นน้ำแตงโม

  • น้ำแตงโมคั้น 20 มิลลิลิตร
  • น้ำตาลทราย 40 กรัม
  • เกลือป่น
  • ข้าวเหนียวนึ่งแล้ว 1 กิโลกรัม
  • กะทิ 50 มิลลิลิตร
  • งาดำ
  • น้ำตาลทรายแดง 100 กรัม
  • น้ำตาลมะพร้าว 400 กรัม
  • น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำข้าวแต๋นน้ำแตงโม

  1. นำน้ำตาลทราย, เกลือ และน้ำแตงโมมาผสมให้เข้ากัน
  2. นำส่วนผสมที่ได้ตามข้อ 1 ไปเทใส่รวมกับข้าวเหนียว คลุกเคล้าให้ทั่ว และใส่กะทิลงไป
  3. พักข้าวทิ้งเอาไว้ ให้ข้าวดูดน้ำประมาณ 2-3 นาที จากนั้นให้ใส่งาดำลงไป
  4. นำพิมพ์ไปจุ่มน้ำ ตักข้าวเหนียวใส่ลงพิมพ์ และกดให้เสมอกัน ไม่ต้องแน่นมาก
  5. นำเอาข้าวเหนียวไปตากแดดประมาณ 1 วัน
  6. เมื่อข้าวเหนียวที่ตากแห้งดีแล้ว ให้นำเอาไปทอดด้วยไฟแรง เมื่อข้าวแต๋นสุกพองให้ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน
  7. นำน้ำตาลมะพร้าว, น้ำตาลทรายแดง, เกลือ และน้ำไปตั้งไฟอ่อน เมื่อละลายดีแล้ว ให้นำเอามาราดบนตัวขนม เตรียมเสิร์ฟ

สรุปบทความ

ก็จบลงไปแล้วกับ 6 เมนูคลายร้อนจากแตงโมที่เรานำมาฝากในวันนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการจะทำในปริมาณที่มากๆ คุณสามารถเพิ่มปริมาณแตงโม และวัตถุดิบอื่นๆ ตามสูตรได้เลย หรือหากอยากปรับเปลี่ยนสูตรให้มีความหวานลดลง หรือมีความหวานเพิ่มมากขึ้น ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นรสชาติที่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลไม่มีผิดถูก

รวม 10 อาหารคลายเครียด กินอิ่มท้อง คลายเครียด แถมได้ประโยชน์

อาหารช่วยคลายเครียด

ในยุคนี้มีปัจจัยหลายอย่าง ที่ทำให้คนเราเกิดความเครียดในการใช้ชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะมีวิธีจัดการความเครียดที่แตกต่างกันออกไป ตามแบบฉบับของตัวเอง แต่หนึ่งในวิธีคลายเครียดที่หลายคนเลือกใช้ ก็คงจะหนีไม่พ้นการกิน แต่หากเลือกอาหารผิด ก็อาจทำให้น้ำหนักขึ้นและเครียดกว่าเดิมได้ เพื่อให้คุณสามารถกินในตอนที่เครียดได้อย่างสบายใจ เราแนะนำว่าควรเลือกอาหารคลายเครียดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพียงเท่านี้ก็สามารถกินได้อย่างไร้กังวล

10 อาหารคลายเครียด กินอิ่มแต่ได้ประโยชน์

เพื่อให้คุณได้ประโยชน์จากอาหารที่กินไป แนะนำว่าควรเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน เพราะเมื่อร่างกายของคนเราเกิดความเครียด จะส่งผลให้ต่อมหมวกไตต้องทำงานอย่างหนัก และต่อมหมวกไตจะนำเอาวิตามินในร่างกายมาใช้ ดังนั้น 10 อาหารคลายเครียดเหล่านี้ เป็นอาหารที่ต้องจดเช็กลิสต์เอาไว้เลย

1. กล้วย

กินกล้วย ช่วยคลายเครียด

อาหารคลายเครียดที่มีประโยชน์อย่างแรก ได้แก่ กล้วย เพราะกล้วยมีโพแทสเซียมและเกลือแร่ อีกทั้งยังมีทริปโตเฟนและกรดอะมิโน ที่จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมา สำหรับผู้ที่มีความเครียด นอนไม่หลับ หากกินกล้วยสามารถที่จะช่วยได้แน่นอน

2. ผักโขมและบร็อคโคลี่

อย่างที่ทราบกันดีว่า ผักสีเขียว เป็นผักที่อุดมไปด้วยโฟเลต, วิตามินบี, แมกนีเซียม และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ซึ่งกรดโฟเลตหรือกรดโฟลิก จะมีส่วนช่วยในการทำงานของเส้นประสาท หากรับประทานผักโขม และบร็อคโคลี่ จะช่วยให้ระดับความเครียดที่มีลดน้อยลงได้

3. นมและโยเกิร์ต

นมและโยเกิร์ต นอกจากจะเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อระบบประสาทแล้ว นมและโยเกิร์ตยังอุดมไปด้วยทริปโตเฟน เพราะเหตุนี้จึงทำให้แพทย์มักที่จะแนะนำให้ทุกคน ดื่มนมอย่างน้อย 1 แก้วต่อวัน

4. เนื้อปลา

สัตว์ตระกูลปลา เป็นเนื้อสัตว์ที่มีสารอาหารดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อุดมไปด้วยโมเมก้า 3 และที่สำคัญยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นสารสำคัญที่จะช่วยป้องกันโรคหัวใจ ที่มีความเกี่ยวเนื่องมาจากความเครียด อีกทั้งเนื้อปลายังเป็นอาหารคลายเครียด ที่มีวิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 ที่จะช่วยกระตุ้นการหลั่งสารแห่งความสุขด้วย

5. ถั่วต่าง ๆ

กินถั่ว ช่วยคลายเครียด

หากคุณรู้สึกเครียด แต่ไม่ได้อยากกินอะไรที่หนักท้องจนเกินไป อีกหนึ่งอาหารคลายเครียดที่เป็นประเภทของกินเล่นที่แนะนำมากที่สุด คือ “ถั่ว” เพราะถั่วมีทั้งวิตามินบี, วิตามินอี, แมกนีเซียม และสังกะสี ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสารอาหารที่จะช่วยลดความตึงเครียดได้ทั้งนั้น แต่ระวังอย่างทานมากจนเกินไป เพราะถั่วเป็นของกินเล่นมีแคลอรีสูง

6. ชาเขียว

หลายคนก็คงจะทราบดีอยู่แล้วว่าในใบช้า มีสาร L-theanine ที่มีสรรพคุณทำให้สมองเกิดความผ่อนคลาย ดังนั้นหากเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกเครียด หรือรู้สึกถึงความวิตกกังวล การดื่มชาเขียวจะทำให้สมองกลับมาผ่อนคลายได้ และเท่านั้นยังไม่พอ ใบชายังมีสารอีพิแกลโลคาเทชิน แกลเลต ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าของร่างกาย แนะนำว่าหากต้องการความผ่อนคลายขั้นสุด ควรเลือกดื่มเป็นชาเขียวร้อนจะดีมาก

7. ดาร์กช็อกโกแลต

ช็อกโกแลต มีสาร Flavonoids ที่สามารถช่วยลดความดันโลหิต และเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อสมอง สามารถลดความตึงเครียดได้ แต่หากกินช็อกโกแลตทั่วๆ ไป ก็อาจเสี่ยงต่อแคลอรี ดังนั้นแนะนำว่าให้เลือกกินดาร์กช็อกโกแลต ที่มีปริมาณของโกโก้ 70% ขึ้นไป จะดีกับสุขภาพมากกว่า

8. ผลไม้รสเปรี้ยว

ผมไม้รสเปรี้ยว ล้วนเป็นแหล่งรวมวิตามินชั้นดี เมื่อร่างกายเกิดความเครียด หรือร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินขึ้นมาได้เอง การกินผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม นอกจากจะช่วยลดความเครียดที่มีได้แล้ว ยังทำให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีอีกด้วย

9. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี

นอกจากผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ ที่กล่าวไปแล้ว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ก็ถือได้ว่าเป็นอาหารคลายเครียดชั้นดีเช่นเดียวกัน เนื่องจากผลไม้ตระกูลนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ และมีวิตามินซีสูง ไม่ว่าจะกินแบบสดๆ หรือนำเอามาปั่นเป็นสมูทตี้ ก็สามารถช่วยลดความเครียดได้ไม่ต่างกัน

10. เนื้อไก่

นอกจากนมอุ่นๆ ที่ดื่มก่อนนอน จะช่วยทำให้หลับสบายได้แล้ว หากมื้อเย็นคุณเลือกกินเป็นอาหาร ที่มีโปรตีนหลักเป็นเนื้อไก่ ไม่ว่าจะเป็นเมนูที่ทำจาก เครื่องครัวยุโรป หรือเป็นเมนูไทยอะไรก็ตาม จะช่วยทำให้หลับสบายมากยิ่งขึ้นได้ไม่ต่างอะไรไปจากการดื่มนม

สรุปบทความ

ถึงแม้ความเครียด จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย และเกิดขึ้นได้หลายปัจจัย แต่การจะลดความเครียดก็มีหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย, การมองหากิจกรรมที่สนใจ, การออกไปเจอเพื่อนฝูง รวมถึงการเลือกกินอาหารต่างๆ ซึ่งการกินอาหารถือเป็นวิธีลดความเครียดที่สามารถทำได้ง่ายที่สุด หากเทียบกับวิธีอื่นๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกได้ถึงความเครียดที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง เพียงเลือกอาหารคลายเครียดที่ชอบ คุณก็สามารถที่จะเพิ่มความสุขให้กับตัวเองได้แล้วแบบง่ายๆ

แจก 6 สูตรและวิธีทำขนมไทยง่าย ๆ มีแค่เตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้าก็ทำได้

สูตรทำขนมไทยทำง่าย ๆ

สำหรับคนที่ชอบทำขนม หรือกำลังสนใจอยากที่จะมีรายได้เสริม ในวันนี้เรามี 6 สูตรขนมไทยทำง่าย ๆ นำมาฝาก ซึ่งเป็นสูตรขนมไทยที่เรากล้ารับประกันเลยว่า เป็นสูตรที่อร่อยที่สุด หากนำเอาไปทำขายต่อยอด จะทำให้ลูกค้าติดใจ และกลับมาซื้อซ้ำอย่างแน่นอน 

6 สูตรทำขนมไทยง่าย ๆ ทำได้ไม่ง้อเตาถ่าน

อย่างที่ได้เกริ่นไปในตอนต้นแล้วว่า สูตรขนมไทยที่เราได้นำเอามาฝากในวันนี้ เป็นสูตรที่สามารถทำได้ง่าย ไม่ว่าจะนำเอาไปทำทานเอง หรือนำเอาไปทำขายก็ตอบโจทย์อย่างมาก และที่สำคัญทั้ง 6 สูตรขนมไทยที่เรานำเอามาฝาก เป็นสูตรที่ไม่ต้องใช้เตาอบ ไม่ต้องใช้เตาถ่าน ต่อให้คุณจะมีเพียงแค่ เตาแก๊ส หรือ เตาไฟฟ้า ก็สามารถทำขนมตามสูตรเหล่านี้ได้ 100%

 1. วุ้นกะทิใบเตย

สูตรทำวุ้นกะทิใบเตย

สูตรขนมไทยทำง่าย ๆ สูตรแรก คือ “วุ้นกะทิใบเตย” โดยอุปกรณ์อื่นๆ นอกเหนือจากอุปกรณ์พื้นฐานที่ต้องเตรียม ได้แก่ ผ้าขาวบาง, กระชอนกรองน้ำใบเตย, พิมพ์ที่จะใช้สำหรับการทำวุ้น 

วัตถุดิบสำหรับทำวุ้นใบเตย

  • ใบเตยหั่นเป็นชิ้น
  • น้ำเปล่า 550 มิลลิลิตร
  • น้ำตาลทราย 95 กรัม
  • ผงวุ้น 5 กรัม

วัตถุดิบสำหรับทำวุ้นกะทิ

  • น้ำกะทิ 200 กรัม
  • น้ำเปล่า 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 95 กรัม
  • เกลือครึ่งช้อนช้า
  • ผงวุ้น 5 กรัม

วิธีทำวุ้นกะทิใบเตย

  1. นำใบเตยที่หั่นเตรียมไว้ไปปั่นกับน้ำเปล่า
  2. เอาน้ำใบเตยที่ได้มากรองด้วยกระชอน และผ้าขาวบาง
  3. เมื่อกรองเสร็จให้นำเอาไปตั้งไฟ ใส่น้ำตาลคนให้ละลาย ตามด้วยผงวุ้นคนให้ละลายเช่นเดียวกัน
  4. เทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ รอให้วุ้นใบเตยเซ็ตตัว
  5. นำกะทิไปตั้งไฟกลาง
  6. ใส่น้ำตาล เกลือ คนให้ละลาย และตามด้วยผงวุ้น ต้องคนให้ผงวุ้นละลายด้วยเช่นกัน
  7. เทน้ำกะทิใส่ลงบนพิมพ์ ที่มีวุ้นใบเตยอยู่ก่อนหน้า
  8. รอให้วุ้นเซ็ตตัว หรือนำเอาไปแช่เย็น และตัดเสิร์ฟได้ทันที

2. ขนมถ้วย

อุปกรณ์เพิ่มเติมที่จำเป็นต้องเตรียม ในการทำ “ขนมถ้วย” ได้แก่ ถ้วยตะไล และไม้แคะขนม หรือช้อนชา

วัตถุดิบสำหรับทำส่วนของตัวขนม

  • แป้งข้าวเจ้า 180 กรัม
  • แป้งมัน 80 กรัม
  • แป้งท้าวยายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
  • กะทิ 200 กรัม
  • น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม
  • น้ำ 70 มิลลิลิตร
  • ใบเตยหั่นเป็นชิ้น

วัตถุดิบสำหรับทำส่วนของหน้าขนม

  • หัวกะทิ 600 มิลลิลิตร
  • น้ำ 150 มิลลิลิตร
  • แป้งข้าวเจ้า 70 กรัม
  • เกลือ 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 30 กรัม

วิธีทำขนมถ้วย

  1. นำใบเตยที่หั่นเตรียมไว้ไปปั่นกับน้ำเปล่า และกรองด้วยกระชอน ผ้าขาวบาง เตรียมแยกเอาไว้ก่อน
  2. นำน้ำตาลปี๊บมาละลายกับน้ำ เมื่อน้ำตาลละลายดีแล้วให้นำเอาแป้งท้าวยายม่อม แป้งมัน และแป้งข้าวเจ้า มาผสม
  3. ใช้ตะกร้อค่อยๆ คนส่วนผสมให้เข้ากัน และใส่กะทิในส่วนสำหรับตัวขนม รวมถึงน้ำใบเตยที่เตรียมเอาไว้ลงไป คนให้เข้ากันอีกที
  4. นำเอาส่วนผสมที่ได้ไปกรองบนตะแกรง เพื่อให้แป้งเนียน ไม่เป็นเม็ด
  5. ในส่วนของการทำหน้าขนม ให้นำเอาเกลือ น้ำตาล และแป้งมาคนให้เข้ากัน
  6. ใส่น้ำกะทิ และน้ำสะอาด ที่เตรียมเอาไว้ลงไปในส่วนผสมข้อ 5 
  7. ใช้ตะกร้อค่อยๆ คนส่วนผสม ก่อนจะนำเอาไปกรองบนตะแกรง
  8. ตั้งซึ้งนึ่งถ้วยขนมให้ร้อน หยอดวัตถุดิบส่วนขนมลงไปประมาณ 3:4 ของถ้วย ปิดฝา นึ่งทิ้งไว้ 5-7 นาที
  9. ยกซึ้งขนมออกจากเตา หยอดวัตถุดิบส่วนหน้าขนมลงไปให้เต็มด้วย และนึ่งต่ออีก 5-7 นาที
  10. หากสุกแล้วให้ยกออกจากเตา พักทิ้งไว้ให้เย็น จะสามารถแคะขนมออกจากถ้วยได้ง่ายขึ้น

3. บัวลอยไข่หวาน

สูตรทำบัวลอยไช่หวาน

มาต่อกันที่ขนมไทยทำง่าย ๆ สูตรที่ 3 กับ “บัวลอยไข่หวาน” วัตถุดิบและวิธีทำมีดังนี้

วัตถุดิบสำหรับทำบัวลอยไข่หวาน

  • แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย
  • น้ำ 1:4 ถ้วย
  • เผือกนึ่งสุก
  • ฟักทองนึ่งสุก
  • น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น
  • น้ำกะทิ 1 ถ้วย
  • น้ำตาล 1 ถ้วย
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • ไข่ไก่

วิธีทำบัวลอยไข่หวาน

  1. การทำแป้งจะต้องนำเอา เผือกนึ่ง, ฟักทองนึ่ง นำเอาไปนวดกับแป้งและน้ำ แยกไว้เป็นส่วนๆ  และแป้งอีกส่วนให้ผสมกับน้ำใบเตย และนวดให้เข้ากัน
  2. ปั้นแป้งที่เตรียมไว้ทั้ง 3 สี ให้มีลักษณะเป็นก้อนกลมเล็ก นำไปคลุกกับแป้งข้าวเหนียวบางๆ เพื่อไม่ให้ติดกัน
  3. นำน้ำกะทิไปตั้งไฟ ใส่น้ำตาล และเกลือลงไป คนให้ละลาย เมื่อน้ำกะทิเดือดให้ตักใส่ถ้วยที่เตรียมไว้
  4. ต้มน้ำในหม้อให้เดือด นำบัวลอยที่ปั้นไว้ไปต้มในน้ำ เมื่อแป้งสุกหรือลอยขึ้นมา ให้ตักสะเด็ดน้ำ และนำเอาไปใส่ลงในถ้วยที่มีกะทิรออยู่
  5. ตอกไข่ไก่ลงไปต้มในหม้อน้ำกะทิ เมื่อไข่ได้ระดับความสุกที่ชอบแล้ว ก็ตักใส่รวมกับบัวลอย และเสิร์ฟได้ทันที

4. กล้วยบวชชี

หากคุณมองหาขนมไทยที่ทำง่ายที่สุด “กล้วยบวชชี” คือหนึ่งในขนมไทยที่ห้ามพลาด เพราะการจะทำกล้วยบวชชีนั้น แทบไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรเพิ่ม เพียงอุปกรณ์ที่มีอยู่ในครัวก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

วัตถุดิบสำหรับทำกล้วยบวชชี

  • กล้วยน้ำว้าสุก หรือกล้วยน้ำว้าห่าม
  • กะทิ 500 มิลลิลิตร
  • น้ำตาลปี๊บ 80 กรัม
  • น้ำตาลทราย 80 กรัม
  • เกลือครึ่งช้อนชา
  • ใบเตย 5 ใบ

วิธีทำกล้วยบวชชี

  1. ปอกกล้วย และหั่นชิ้นตามขนาดที่ชอบ 
  2. นำกล้วยที่ปอกเตรียมไว้ไปล้างในน้ำผสมเกลือ เพื่อไม่ให้กล้วยดำ
  3. นำกล้วยไปนึ่งให้สุก เพื่อไม่ให้กล้วยฝาดเวลานำไปต้ม
  4. นำกะทิไปตั้งไฟปานกลางค่อนไปทางอ่อน ใส่น้ำตาลปี๊บ, น้ำตาลทราย, เกลือ และใบเตยลงไป
  5. คนส่วนผสมให้ละลาย และเข้ากันดี
  6. ใส่กล้วยที่นึ่งไว้แล้วลงไป เมื่อกะทิเดือด สามารถปิดไฟและตักเสิร์ฟได้เลย

5. ขนมต้ม

วัตถุดิบสำหรับการทำ “ขนมต้ม” จะต้องมีการเตรียมเอาไว้เป็น 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

วัตถุดิบสำหรับไส้ขนมต้ม

  • มะพร้าวทึนทึกขูด 250 กรัม
  • น้ำตาลมะพร้าว 160 กรัม
  • น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วย

วัตถุดิบสำหรับแป้งขนมต้ม

  • แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วย
  • น้ำใบเตย หรือน้ำสีอื่นๆ ตามชอบ 1 ถ้วย

วัตถุดิบสำหรับมะพร้าวที่นำมาคลุก

  • มะพร้าวทึนทึกขูด 4 ถ้วย
  • เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำขนมต้ม

  1. ส่วนของไส้ขนมต้ม ทำได้ด้วยการนำเอามะพร้าวขูด, น้ำตาลมะพร้าว และน้ำลอยดอกมะลิ ที่เตรียมเอาไว้ไปผัดบนกระทะให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วให้ยกลงจากเตา พักให้อุ่นและปั้นเป็นก้อนกลมๆ
  2. ทำส่วนของแป้งได้ด้วยการนำเอาแป้งที่เตรียมไว้ ไปผมสมกับน้ำใบเตยหรือน้ำสีต่างๆ นวดผสมกันให้เป็นเนื้อเนียน
  3. นำแป้งมาห่อไส้ขนมที่ปั้นเป็นก้อนเตรียมเอาไว้
  4. นำหม้อมาตั้งไฟ ต้มน้ำให้เดือด สามารถใส่ใบเตยเพิ่มความหอมได้ เมื่อน้ำเดือดแล้วให้นำเอาแป้งและไส้ ที่เตรียมเอาไว้ลงไปต้ม
  5. หากต้มแป้งจนสุก หรือลอยขึ้นมาเหนือน้ำแล้ว ให้ตักออกแล้วนำเอาไปคลุกกับมะพร้าวขูดผสมเกลือ ก่อนจะนำเอาไปเสิร์ฟ

6. ครองแครงน้ำกะทิ

สูตรขนมไทยทำง่าย ๆ สุดท้าย ที่เราได้นำเอามาฝาก ได้แก่ “ครองแครงน้ำกะทิ” วัตถุดิบที่ต้องเตรียมมีดังนี้

วัตถุดิบสำหรับทำครองแครงน้ำกะทิ

  • แป้งมัน 2 ถ้วย
  • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
  • น้ำเปล่า 1 ½ ถ้วย
  • น้ำดอกอัญชัน
  • กะทิ 1 ลิตร หรือจะเพิ่มความหอมด้วยการใช้กะทิอบควันเทียนก็ได้เช่นกัน
  • น้ำตาลทราย 1 ¼ ถ้วย
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • งาขาวคั่ว

วิธีทำครองแครงน้ำกะทิ

  1. นำแป้งมันและแป้งข้าวเจ้า มาผสมให้เข้ากัน แบ่งแป้งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกผสมกับน้ำนวดให้เข้ากัน อีกส่วนนำเอาไปผสมกับน้ำดอกอัญชันที่ต้มเตรียมไว้ และนวดให้เข้ากันเช่นเดียวกับแป้งส่วนแรก
  2. นำแป้งที่นวดผสมไว้ มาปั้นเป็นก้อนเล็กๆ เท่านิ้วก้อย และนำเอาไปกดบนพิมพ์ครองแครงทำให้เกิดลาย
  3. นำตัวครองแครงไปต้มในน้ำเดือดให้สุก และนำเอาไปแช่น้ำเย็น เพื่อไม่ให้แป้งเกาะติดกัน
  4. ต้มน้ำกะทิด้วยไฟกลาง ใส่น้ำตาลและเกลือ คนให้ละลายเข้ากัน
  5. ตักครองแครงที่ต้มไว้แล้วใส่ถ้วย ราดกะทิ และนำเอางามาโรย พร้อมเสิร์ฟ

สรุปบทความ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับสูตรขนมไทยทำง่าย ๆ ทั้ง 6 สูตรที่เรานำเอามาฝาก หากสังเกตจะเห็นได้เลยว่า ทุกสูตรในวันนี้ ล้วนเป็นสูตรขนมที่ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมาก แต่อย่างไรก็ตามหากคุณชอบทำขนมเป็นชีวิตจิตใจ หรืออยากที่จะทำขนมขายเพื่อสร้างรายได้ เราแนะนำว่าควรมี เตาอบ ติดบ้านเอาไว้ โดยเตาอบที่ว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นเตาอบขนาดใหญ่ หากคุณเลือกซื้อเตาอบเป็น เลือกซื้ออย่างคุ้มค่า เพียงเตาอบเล็กๆ คุณก็สามารถทำขนม และอาหาร ได้ทุกเมนูที่คุณต้องการ

เทียบชัด ๆ เตาไฟฟ้ากับเตาแก๊ส เลือกแบบไหนช่วยประหยัดได้มากกว่า

เตาไฟฟ้ากับเตาแก๊ส

เนื่องจากปัจจุบันพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์เรานั้น มีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย หลายสิ่งหลายอย่างก็ได้มีการพัฒนา และมีการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่อุปกรณ์เครื่องครัวอย่างเตาแก๊ส ที่ในช่วงหลังหลายๆ คนเริ่มเปลี่ยนมาใช้เตาไฟฟ้าแทนกันมากขึ้น ซึ่งเตาไฟฟ้ากับเตาแก๊สนั้นเป็นอุปกรณ์เครื่องครัวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่หากคุณเกิดคำถามว่าเตาทั้ง 2 ประเภทนี้ แบบไหนดีกว่ากัน นี่คือบทความที่มีคำตอบให้กับคำถามของคุณแน่นอน

เทียบการใช้งานของเตาไฟฟ้ากับเตาแก๊ส

เปรียบเทียบการใช้งานของเตาไฟฟ้ากับเตาแก๊ส

เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจได้ง่าย และเห็นภาพชัดเจนมากที่สุด เราได้นำเอาความแตกต่างของการใช้งาน ระหว่างเตาไฟฟ้ากับเตาแก๊สนำเอามาฝากที่ด้านล่าง คุณสามารถเลือกได้ด้วยการมองหารูปแบบการใช้งานที่ตอบโจทย์ และเหมาะสมกับตัวของคุณ

เตาไฟฟ้า

เตาประเภทนี้ จะเป็นเตาที่ให้ความร้อนเฉพาะในส่วนที่สัมผัสกับหน้าเตา เหมาะสำหรับการทำครัวหรือการประกอบอาหารเบาๆ ที่ไม่หนักมาก อย่างเช่น การต้ม, การทำแกง และการทอด โดยเตาประเภทนี้จะเป็นเตาที่เหมาะสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโด หรืออพาร์ทเม้นท์โดยเฉพาะ เนื่องจากคอนโดและอพาร์ทเม้นท์ จะไม่อนุญาตให้มีการใช้เตาแก๊สประกอบอาหาร

เตาแก๊ส

เตาประเภทนี้ จะเป็นเตาที่เหมาะอย่างมากสำหรับครอบครัวที่อาศัยอยู่บ้าน และเป็นครอบครัวที่ทำอาหารรับประทานเองอยู่เป็นประจำ เนื่องจากเตาแก๊สเป็นเตาที่สามารถกระจายความร้อนได้อย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะทำเมนูอะไรเตาแก๊สก็เป็นเตาที่เหมาะสำหรับทำอาหารทุกเมนู

เทียบค่าใช้จ่ายของเตาไฟฟ้ากับเตาแก๊ส

นอกจากความแตกต่างของการใช้งานแล้ว เตาไฟฟ้ากับเตาแก๊สยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของค่าใช้จ่าย เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น TECNOGAS จึงนำค่าใช้จ่ายของเตาทั้ง 2 ประเภท นำเอามาเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้กับคุณดังนี้

เตาไฟฟ้า

เตาไฟฟ้า

เตาไฟฟ้า จะมีทั้งหมด 3 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ เตาเซรามิก, เตาแม่เหล็กไฟฟ้า และเตาไฟฟ้าทั่วไป หากแนะนำในเรื่องของการประหยัด แนะนำให้เลือกเป็นเตาแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีฉลากเบอร์ 5 โดยเตาชนิดนี้จะกินไฟเพียงแค่ 5-7 บาท ต่อชั่วโมง ต่อหัวเตาเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับเตาแก๊สแล้ว หากใช้เตาแม่เหล็กไฟฟ้า จะมีต้นทุนที่ไม่ค่อยต่างจากเตาแก๊สมากนัก

เตาแก๊ส

เตาแก๊ส หรือแก๊สหุงต้ม จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 363 บาท จะได้ถัง 15 กิโลกรัม สำหรับครอบครัวหรือครัวเรือน ที่ไม่ได้มีการใช้งานอะไรเยอะมาก สำหรับแก๊สหุงต้มถังขนาด 15 กรัม อาจมีการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1-2 ถังต่อปี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาจขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งานด้วย

เทียบฟังก์ชันการใช้งานของเตาไฟฟ้ากับเตาแก๊ส

ข้อเปรียบเทียบสุดท้าย ที่จะทำให้รู้ได้ว่าตัวคุณเหมาะที่จะเลือกใช้เตาประเภทไหน ระหว่างเตาไฟฟ้ากับเตาแก๊ส คือการนำเอาฟังก์ชันในการใช้งานนำเอามาเปรียบเทียบกัน 

เตาไฟฟ้า

ฟังก์ชันและจุดเด่นของเตาไฟฟ้า คือเตาไฟฟ้าสามารถที่จะปรับระดับความร้อนได้หลายระดับ อีกทั้งยังสามารถตั้งเวลาในการทำอาหารได้ โดยฟังก์ชันการทำงานของเตาจะเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ ทำให้มีความสะดวกสบายในการใช้งาน และที่สำคัญมีความปลอดภัยในเรื่องของเปลวไฟ

เตาแก๊ส

จุดเด่นของเตาแก๊ส คือผู้ใช้งานสามารถที่จะปรับระดับความร้อนของไฟได้ตามใจต้องการ จากการหมุนลูกบิดที่เตา ให้ความร้อนทั่วถึงหากนำเอามาประกอบอาหาร จะทำให้ใช้เวลาในการทำอาหารน้อยลง

สรุปบทความ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับการเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างเตาไฟฟ้ากับเตาแก๊สที่เราได้กล่าวไปในข้างต้น หากคุณอ่านมาถึงบทสรุปส่งท้ายของเรา คุณคงจะทราบและเห็นถึงความแตกต่างของเตาทั้ง 2 ประเภทได้อย่างชัดเจนแล้ว สำหรับการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้เตาประเภทไหน อาจต้องมีการใช้ปัจจัยต่างๆ มาประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติมด้วย แต่หากคุณทราบแล้วว่า ตัวคุณเหมาะที่จะใช้เตาประเภทไหน หรือหากคุณกำลังมองหาเตาเพื่อนำเอามาใช้งาน TECNOGAS มีเตาไฟฟ้าและเตาแก๊ส มาให้คุณเลือกหลายรุ่นหลายแบบด้วยกัน สามารถดูสินค้าเพิ่มเติม หรือเลือกซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ได้เลย

Tips ออกแบบห้องครัวยังไงให้กว้างขวาง ใช้งานสะดวก

ออกแบบห้องครัว

สำหรับคนที่กำลังมีแพลนจะตกแต่งบ้าน หรือมีแพลนที่จะรีโนเวทบ้าน อย่าลืมให้ความสำคัญกับการออกแบบห้องครัว เพราะถึงแม้ว่าห้องครัว จะไม่ใช่ห้องหลักในการอยู่อาศัย แต่ห้องครัวก็เป็นอีกหนึ่งห้องที่มีการใช้งานเยอะ ไม่แพ้ห้องอื่นๆ ในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณเป็นคนที่ทำอาหารทานเอง การออกแบบและตกแต่งห้องครัว ให้สามารถใช้งานได้จริง และตอบโจทย์การใช้งาน คือสิ่งที่ต้องใส่ใจ

6 Tips ออกแบบห้องครัวให้ตอบโจทย์การใช้งาน

หากคุณไม่เคยมีประสบการณ์ในการออกแบบห้องครัว แต่ไม่อยากที่จะเสียเงินไปกับการจ้างออกแบบ เรามี 6 Tips ที่จะช่วยให้คุณได้ห้องครัวที่ดี ให้คุณได้ห้องครัวที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะใช้ทำอาหารหรือใช้ทำขนม โดยเคล็ดลับที่เรานำเอามาฝาก เป็นเคล็ดลับแจกฟรีที่คุณสามารถนำเอาไปปรับใช้ได้เลยตามความเหมาะสม

1. ออกแบบห้องครัวด้วยทฤษฎีสามเหลี่ยม

เคล็ดลับการออกแบบ ห้องครัว ด้วยการนำเอาทฤษฎีสามเหลี่ยมมาใช้ โดยทฤษฎีสามเหลี่ยมที่ว่านี้ เป็นทฤษฎีที่มีการนำเอามาใช้งานตั้งแต่ปี 1920 โดยมีแนวคิดง่ายๆ คือการจัดวางซิงค์ล้างจาน, ตู้เย็น และเตาแก๊ส ให้อยู่ในโซนที่ใกล้กัน แต่ไม่อยู่ชิดกันมากจนเกินไป โดยตำแหน่งการวางจะต้องอยู่ที่มุมสามเหลี่ยมแต่ละมุมนั่นเอง

2. แบ่งพื้นที่การใช้งานให้จัดเจน

แบ่งพื้นที่การใช้งานในห้องครัวให้จัดเจน

เพื่อความเป็นระเบียบ และเพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน จะต้องมีการออกแบบห้องครัวให้ภายในห้อง มีการแบ่งพื้นที่ต่างๆ ออกจากกันอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น 

  • มุมพื้นที่สำหรับการเก็บของสด และของแห้ง 
  • มุมพื้นที่สำหรับการล้าง และการทำความสะอาด
  • มุมพื้นที่สำหรับการเตรียมอาหาร และการปรุงอาหาร

เพียงแบ่งโซนพื้นที่การทำงานอย่างชัดเจน ก็จะทำให้การหยิบจับ หรือการใช้งานในส่วนต่างๆ สามารถทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ไม่เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในครัว

3. ออกแบบห้องครัวให้มีแสงสว่างที่เพียงพอ

สิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงในการออกแบบห้องครัว คือความสว่างของห้องครัว เนื่องจากแสงสว่างจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการปรุงอาหาร ให้คุณสามารถมองเห็นได้ง่ายว่าอาหารที่กำลังปรุงนั้นมีความสุกที่เพียงพอแล้วหรือไม่ อีกทั้งยั้งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุในห้องครัวได้อีกด้วย

4. การออกแบบต้องคำนึงถึงการใช้งานจริง

หากคุณต้องการที่จะคุมโทนห้องครัวของคุณ ให้ไปทิศทางแนวเดียวกันกับส่วนอื่นๆ ของบ้าน สามารถทำได้ด้วยการเลือกสีของห้อง สีของอุปกรณ์เครื่องครัวที่ใช้ สีของเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้ แต่ในด้านของการออกแบบ และการจัดวาง การเลือกซื้ออุปกรณ์เข้ามาในห้องครัว แนะนำว่าจะต้องคำนึงถึงการใช้งานเป็นหลัก ไม่ควรออกแบบมาเพื่อความสวยงามเพียงแค่อย่างเดียว

5. เฟอร์น้อย แต่ฟังก์ชันเยอะ

เฟอร์นิเจอร์ในห้องครัว เน้นฟังก์ชันเป็นหลัก

ห้องครัวจะเป็นห้องที่แตกต่างไปจากห้องอื่นๆ ในบ้าน ตรงที่การออกแบบห้องครัว และเฟอร์นิเจอร์ที่นำเอามาใช้ จะต้องเน้นไปที่ฟังก์ชันเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องใช้เฟอร์นิเจอร์ในการตกแต่งเยอะ แต่ควรเน้นไปที่ประโยชน์ในการใช้สอย ยกตัวอย่างเช่น การใช้ชั้นวางของขนาดใหญ่ ที่สามารถวางอุปกรณ์เครื่องครัวได้เยอะ เป็นต้น

6. ปลั๊กไฟที่เพียงพอ

ห้องครัวถือเป็นอีกหนึ่งห้องที่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของปลั๊กไฟ ถึงแม้ห้องครัวจะไม่ใช่ห้องที่คุณใช้เป็นหลัก และอาจไม่ใช้ห้องที่คุณเข้าไปใช้งานเป็นระยะเวลานาน แต่ห้องครัวเป็นห้องที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าเยอะ ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น, หม้อหุงข้าว, ไมโครเวฟ, เตาอบ ฯลฯ ดังนั้นจึงต้องมีการวางตำแหน่งปลั๊กไฟให้ดี และมีจำนวนของปลั๊กที่เพียงพอ จะต้องมีการวางแผนการออกแบบ และการตกแต่งอย่างถูกต้อง

สรุปบทความ

หากคุณนำเอาเคล็ดลับ และเทคนิคการออกแบบห้องครัวทั้ง 6 ข้อ ที่ TECNOGAS ไปปรับใช้ ต่อให้คุณจะไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการออกแบบมาก่อนเลย คุณก็สามารถที่จะทำการออกแบบ และตกแต่งห้องครัวด้วยตัวเองได้ หรือหากสุดท้ายคุณจ้างคนมาออกแบบให้ เคล็ดลับเหล่านี้ก็จะช่วยให้คุณสามารถบอกความต้องการให้กับคนออกแบบได้รู้ และจะทำให้คุณได้ห้องครัวที่สามารถใช้งานได้จริง นำมาใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องเสียเงินไปแบบน่าเสียดาย สุดท้ายหากคุณกำลังมองหาเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ในห้องครัว สามารถเข้ามาเลือกชมเลือกซื้อที่ TECNOGAS ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

รวมเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับเตาแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ

เตาแม่แหล็กไฟฟ้ามีหลักการทำงานอย่างไร

ปัจจุบันเครื่องใช้ในครัวเรือน ก็เป็นอีกอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีมาให้เลือกสรรเยอะ หนึ่งในเทคโนโลยีใหม่ของเครื่องใช้ในครัวเรือนหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เหล่าพ่อบ้านและเหล่าแม่บ้าน น่าจะเคยได้ยินหรือเคยเห็นผ่านตามาบ้าง ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหนนอกจาก “เตาแม่เหล็กไฟฟ้า” แต่บางคนก็อาจจะไม่เคยทราบมาก่อนว่า หลักการทำงานของ เตาไฟฟ้า นั้นทำงานอย่างไร ต้องใช้กับอุปกรณ์แบบไหน เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเตาชนิดนี้ได้อย่างไร้กังวล และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลน่ารู้มาให้คุณแล้ว

เตาแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร?

เตาแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร

เตาแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นเตาที่มีพื้นผิวราบเรียบ และมักจะทำมาจากวัสดุกระจกเซรามิกเป็นส่วนใหญ่ จะมีการส่งความร้อนไปยังอุปกรณ์ทำอาหารที่คุณเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นกระทะหรือหม้อโดยตรง จะไม่ใช่การทำความร้อนที่พื้นผิวของเตาเหมือนกับเตาประเภทอื่นๆ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงเตาประเภทแม่เหล็กไฟฟ้าได้มากขึ้น เราจึงได้นำเอา 5 ข้อควรรู้มาเป็นข้อมูลเพิ่มเติม ให้กับคุณดังนี้

5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับเตาแม่เหล็กไฟฟ้า

ข้อควรรู้เกี่ยวกับเตาแม่เหล็กไฟฟ้า

1. หลักการทำงานของเตาแม่เหล็กไฟฟ้า 

อย่างที่เราได้เกริ่นไปบางส่วนเกี่ยวกับหลักการทำงานของเตาประเภทนี้แล้วว่า หลักการทำงานของเตาแม่เหล็กไฟฟ้าจะเป็นการส่งความร้อนไปที่กระทะ และหม้อที่คุณนำเอามาใช้ประกอบอาหารโดยตรงแทนการใช้ความร้อนจากเปลวไฟ ทำให้บริเวณหน้าเตาไม่เกิดความร้อน และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาไฟฟ้าลัดวงจร คุณสามารถทำอาหาร รวมถึงสามารถทำความสะอาดได้สะดวกขึ้น ไม่เป็นอันตรายต่อการโดนความร้อนลวกมือ

2. วิธีทำความสะอาดผิวหน้าเตาแม่เหล็กไฟฟ้า 

ในการทำความสะอาดผิวหน้าเตา จะต้องมีการเตรียมอุปกรณ์ก่อน โดยอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมได้แก่ ที่ขูด หรือใบมีดสำหรับขูดคราบบนเตาแม่เหล็กไฟฟ้า, ผ้าไมโครไฟเบอร์, น้ำยาทำความสะอาดเครื่องครัวสูตรอ่อนโยน และน้ำสะอาด

  1. ทำการขูดคราบที่ติดอยู่บนเตาออกอย่างเบามือ ด้วยการใช้ที่ขูดหรือใบมีดสำหรับขูดคราบ
  2. เช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดเครื่องครัวสูตรอ่อนโยน แนะนำให้ทำการเช็ดวนเป็นวงกลม และเน้นที่บริเวณที่มีคราบฝังแน่น
  3. เช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำอีกครั้ง จะต้องเช็ดให้ไม่มีคราบน้ำยาทำความสะอาดหลงเหลืออยู่
  4. นำผ้าสะอาด (แห้ง) มาเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง ด้วยการขัดเป็นวงกลมเล็กๆ จนกว่าจะทั่วบริเวณ ถือว่าเป็นอันเสร็จ

3. ความแข็งแรงของผิวหน้าเตาแม่เหล็กไฟฟ้า

ถึงแม้ว่าเตาแม่เหล็กไฟฟ้า จะทำมาจากวัสดุกระจกเซรามิก แต่เตาประเภทนี้ก็ไม่ได้แตกหักง่ายแต่อย่างใด และนี่คือสิ่งที่หลายๆ คนมักจะเข้าใจผิด ทั้งที่จริงๆ แล้วเตาประเภทนี้มีความแข็งแรง และมีความทนทานอย่างมากทีเดียว หากคุณมีการเช็ดทำความสะอาดทุกครั้ง มีการขัดถูอย่างเบามือ ก็สามารถใช้งานไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่าเตาจะพังแต่อย่างใด

4. ลักษณะอุปกรณ์ที่ใช้งานกับเตาแม่เหล็กไฟฟ้าได้ 

สำหรับภาชนะหรืออุปกรณ์เครื่องครัว ที่จะนำเอามาใช้กับเตาแม่เหล็กไฟฟ้า จะต้องเป็นอุปกรณ์ที่มีโลหะหรือสแตนเลสบางชนิดเป็นส่วนผสม เพราะในการใช้งานจะต้องมีการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็ก เพื่อก่อให้เกิดความร้อนตามหลักการ โดยคุณสามารถเช็กได้ว่าอุปกรณ์นั้นๆ สามารถนำเอามาใช้งานได้หรือไม่ จากการดูสัญลักษณ์ที่มีบอกของอุปกรณ์เครื่องครัว หรือจะนำเอาแม่เหล็กติดตู้เย็นมาเป็นตัวช่วยในการเช็กอุปกรณ์ ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

5. ติดตั้งเตาแม่เหล็กไฟฟ้าแบบบิ้วอิน โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ 

ในการติดตั้งเตาแม่เหล็กไฟฟ้าแบบบิ้วอิน คุณจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องการเดินสายไฟ และกำลังไฟของจุดจ่ายไฟ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งการติดตั้งเตาในรูปแบบนี้ อาจมีความยุ่งยากในการติดตั้งเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเตาประเภทตั้งโต๊ะธรรมดา ดังนั้นเพื่อความสวยงาม และเพื่อความปลอดภัย แนะนำว่าควรให้ช่างที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ติดตั้งจะดีที่สุด

สรุปบทความ

สำหรับผู้ที่กำลังสนใจจะเปลี่ยนมาเลือกใช้เตาแม่เหล็กไฟฟ้า เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นบทความที่มีประโยชน์ ทำให้คุณเข้าใจและได้ข้อมูลเกี่ยวกับเตาประเภทนี้มากขึ้น และที่สำคัญเตาประเภทแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นเตาที่มีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงานมากกว่าเตาแก๊ส เพราะในระหว่างการใช้งานเตาประเภทนี้ ไม่มีการสูญเสียความร้อนในการกระจายความร้อน หากคุณต้องการลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เตาประเภทนี้ถือว่าค่อนข้างตอบโจทย์มากทีเดียว

เคล็ดลับดับกลิ่นตู้เย็นด้วยไอเทมง่าย ๆ ใกล้ตัว

วิธีดับกลิ่นตู้เย็นมีอะไรบ้าง

“ตู้เย็น” เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้งานทุกวัน และยิ่งมีการแช่ผัก หรือเนื้อสัตว์ด้วยแล้ว จึงไม่แปลกเลยที่ตู้เย็นจะมีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นอับเกิดขึ้น และหากคุณกำลังเจอกับปัญหาตู้เย็นที่บ้านมีกลิ่น ไม่ว่าจะนำอะไรไปแช่ในตู้เย็นก็มีกลิ่นติดออกมาด้วย เรามีวิธีดับกลิ่นตู้เย็นดีๆ ที่รับประกันว่าได้ผล 100% นำเอามาฝากกัน

กลิ่นเหม็นในตู้เย็นเกิดจากอะไร

กลิ่นเหม็นในตู้เย็น อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะจากการแช่ผัก หรือของสด รวมถึงการเน่าเสียของอาหารในตู้เย็นที่แช่เอาไว้นาน และไม่ได้นำออกไปทิ้ง ก็สามารถทำให้ตู้เย็นมีกลิ่นเหม็น และมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมาได้ และนอกจากกลิ่นที่เกิดขึ้นแล้ว อาจทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อโรค เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

7 วิธีดับกลิ่นตู้เย็นจากของใกล้ตัว

หากคุณต้องการที่จะดับกลิ่นตู้เย็น หรือแก้ปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ของตู้เย็นที่ใช้อยู่ สามารถนำเอา 7 วิธีดังต่อไปนี้ ไปปรับใช้ตามความเหมาะสมได้เลย ทุกวิธีที่เรานำเอามาฝาก สามารถใช้ได้จริง ลดกลิ่นได้จริง ถูกใจเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านแน่นอน

1. เบคกิ้งโซดา

ดับกลิ่นตู้เย็นด้วยเบคกิ้งโซดา

การจะนำเอาเบกกิ้งโซดามาช่วยขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือกลิ่นเหม็นในตู้เย็น สามารถทำได้ด้วยกัน 2 วิธี ได้แก่ การนำเอาเบกกิ้งโซดาใส่ถ้วย นำเอามาวางไว้ในตู้เย็น และการนำเบกกิ้งโซดามาผสมกับน้ำเปล่า และใช้ฟองน้ำชุบ เช็ดทำความสะอาดตู้เย็นให้ทั่ว เพียงเท่านี้กลิ่นเหม็นก็จะหายไปทันที

2. ถ่านไม้ดำ

ถ่านไม้หรือถ่านไม้ดำ มีคุณสมบัติพิเศษอีกหนึ่งอย่าง นอกเหนือจากการนำเอามาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการจุดไฟ คือการดูดกลิ่น หากนำเอาถ่านไปวางเรียงไว้ในตู้เย็นประมาณ 2-3 ก้อน เพียงไม่กี่วันคุณจะรู้สึกได้ว่า กลิ่นเหม็นในตู้เย็นลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพื่อไม่ให้ตู้เย็นมีกลิ่นอีก ควรเปลี่ยนถ่านชุดใหม่ทุกๆ เดือน

3. เมล็ดหรือกากกาแฟ

เมล็ดหรือกากกาแฟ ก็มีคุณสมบัติในการดับกลิ่นตู้เย็นเช่นเดียวกันกับถ่าน คือการดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ เพียงนำเอาผงกาแฟบด หรือนำเอากากกาแฟไปใส่ในถุงพลาสติก เจาะรูเล็กน้อย นำเอาไปวางไว้ในตู้เย็น ก็สามารถช่วยแก้ปัญหากลิ่นเหม็นได้

4. ใบชาแห้ง

ใบชาแห่งหรือถุงชาแห้ง ที่ผ่านการชงมาแล้ว สามารถที่จะนำเอามาวางไว้ในตู้เย็น เพื่อช่วยดับกลิ่นเหม็นได้เช่นเดียวกัน แต่นอกจากจะช่วยดับกลิ่นเหม็นแล้ว การนำเอาใบชาหรือถุงชามาวางไว้ในตู้เย็นอาจทำให้ตู้เย็นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ได้จากใบชาหรือถุงชาออกมาด้วย

5. น้ำส้มสายชู

บ้านไหนที่มีน้ำส้มสายชูติดเอาไว้ สามารถนำเอาน้ำส้มสายชูมาผสมกับน้ำสะอาด นำมาใส่ขวดสเปรย์ฉีดให้ทั่วตู้เย็น และนำเอาผ้าสะอาดมาเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง เพียงเท่านี้ก็สามารถลดกลิ่นของตู้เย็นให้จางลง หรือหายไปได้เช่นเดียวกัน

6. กลิ่นวานิลลา

ถึงแม้ว่ากลิ่นวานิลลา จะไม่สามารถช่วยดับกลิ่น หรือขจัดกลิ่นเหม็นในตู้เย็นได้มีประสิทธิภาพเท่าวิธีอื่นๆ แต่กลิ่นวานิลลาจะช่วยทำให้ตู้เย็นมีกลิ่นหอมละมุนมากยิ่งขึ้น หากต้องการเพิ่มกลิ่นหอมให้กับตู้เย็นด้วยวิธีนี้ สามารถนำก้อนสำลีมาชุบกลิ่นวานิลลา และนำเอาไปวางในตู้เย็นในจุดต่างๆ ที่ต้องการได้

7. มะนาว เลมอน

เลมอนช่วยดับกลิ่นตู้เย็น

สำหรับมะนาว และเลมอน ถือเป็นสิ่งที่จะช่วยดับกลิ่นตู้เย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การใช้มะนาวและเลมอนมาดับกลิ่นนั้น เราจะใช้เพียงแค่ส่วนเปลือก เนื่องจากเปลือกของมะนาวและเลมอน มีคุณสมบัติในการดับกลิ่น แต่หากต้องการกลิ่นหอมด้วย ก็สามารถผ่าครึ่งและนำเอามาวางในตู้เย็นได้เลยไม่ถือว่าผิด

สรุปบทความ

และทั้งหมดนี้คือวิธีดับกลิ่นตู้เย็นที่สามารถนำเอาไปใช้ได้กับทุกบ้าน คุณสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสม หรือวิธีที่คุณมีอุปกรณ์อยู่แล้วมาปรับใช้ได้เลย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นเหม็น หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นอีก แนะนำว่าควรทำความสะอาดตู้เย็นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้มีของเน่าเสียแช่ทิ้งไว้ในตู้เย็น และหากตู้เย็นมีการใช้งานมาในระยะเวลาที่นานมากแล้ว ควรเปลี่ยนหรือซื้อตู้เย็นใหม่ เพราะบางครั้งกลิ่นที่ว่าอาจเกิดจากความเก่าของตู้เย็นได้เช่นเดียวกัน หากคุณกำลังมองหา เครื่องครัวยุโรป ดีๆ มองหาตู้เย็นใหม่ที่ใช้งานได้นาน ทนทาน และคุ้มค่า สามารถเข้ามาเลือกชมได้ที่เว็บไซต์ TECNOGAS

รวมมาให้แล้ว 5 วิธีแก้ปัญหากลิ่นอาหารติดเสื้อผ้า

กลิ่นอาหารติดเสื้อผ้า

หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ชื่นชอบการทำอาหาร หรือต้องเข้า ห้องครัว อยู่ตลอดเวลา ปัญหากลิ่นอาหารติดเสื้อผ้า คงเป็นปัญหาที่ทำให้คุณหนักใจไม่น้อยทีเดียว เพราะบางครั้งกลิ่นที่ว่านี้ไม่ได้ติดอยู่แค่บนเสื้อผ้าที่ใส่ในแต่ละวัน หากนำเอาไปซักรวมกับเสื้อผ้าตัวอื่นๆ บางครั้งก็ทำให้เสื้อผ้าตัวอื่นๆ มีกลิ่นอับชื้นติดตามไปด้วย เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับพ่อครัวแม่ครัวทั้งหลาย บทความนี้จึงเป็นบทความดีๆ สำหรับคุณโดยเฉพาะ

กลิ่นอาหารติดเสื้อผ้า แก้ได้ด้วย 5 วิธีนี้

สำหรับวิธีแก้กลิ่นอาหารติดเสื้อผ้าที่เราได้นำเอามาฝากกันในวันนี้ เป็น 5 วิธีง่ายๆ ที่สามารถใช้ของที่มีในครัวเรือน นำเอามาแก้ปัญหากลิ่นที่ติดตามเสื้อผ้า โดยคุณสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสม หรือเลือกวิธีที่ใช้อุปกรณ์ที่คุณมีได้เลย จะมีวิธีไหนบ้างไปดูกัน

1. น้ำส้มสายชู

แก้กลิ่นอาหารติดเสื้อผ้าด้วยน้ำส้มสายชู

หนึ่งในของที่มีติดครัวเรือน ที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหากลิ่นอาหารติดเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี คือ “น้ำส้มสายชู” นอกจากจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นได้แล้ว น้ำส้มสายชูยังสามารถช่วยขจัดความมันได้ด้วย

วิธีใช้น้ำส้มสายชูขจัดกลิ่นบนเสื้อผ้า

  1. นำน้ำสะอาดครึ่งถ้วยตวง มาผสมกับน้ำส้มสายชูครึ่งถ้วยตวง ผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน
  2. นำเอาส่วนผสมที่ละลายดีแล้ว เทใส่ขวดสเปรย์
  3. กลับเสื้อเอาด้านในออกมาไว้ข้างนอก
  4. ฉีดสเปรย์ลงไปบนเสื้อ บริเวณที่มีกลิ่นอาหารติดอยู่
  5. ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที และนำเอาไปซักตามปกติ

2. เบกกิ้งโซดา

เบกกิ้งโซดา นอกจากจะสามารถนำเอาไปทำอาหาร หรือทำขนมได้แล้ว ยังสามารถที่จะนำมาลดกลิ่นอาหารติดเสื้อผ้าได้ด้วย

วิธีใช้เบกกิ้งโซดาขจัดกลิ่นบนเสื้อผ้า

  1. นำน้ำสะอาดและเบกกิ้งโซดามาผสมในอัตราส่วนเท่าๆ กัน (น้ำ 2 ช้อนโต๊ะ เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ)
  2. กลับเสื้อด้านในออกมาไว้ข้างนอก
  3. นำน้ำและเบรกกิ้งโซดาที่ผสมไว้ไปป้ายลงบนเสื้อ บริเวณที่ต้องการกำจัดกลิ่น
  4. ทิ้งไว้ 30 นาที และนำเอาเสื้อผ้าไปซักตามปกติ

3. น้ำยาล้างจาน

ลดกลิ่นอาหารติดเสื้อผ้าด้วยน้ำยาล้างจาน

วิธีใช้น้ำยาล้างจานขจัดกลิ่นบนเสื้อผ้า

  1. นำน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชา มาผสมกับน้ำร้อนปริมาณ 3-4 ถ้วย คนให้เข้ากัน
  2. นำผ้าที่มีกลิ่นติดลงไปแช่
  3. หากดมดูแล้วกลิ่นจางลง หรือกลิ่นหายไป สามารถนำเอามาซักตามปกติต่อได้เลย

4. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

สำหรับบ้านไหนที่มีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ติดบ้านเอาไว้ ก็สามารถนำเอามาใช้ประโยชน์ในการลดกลิ่นอาหารที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าได้เช่นเดียวกัน และที่สำคัญไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วย

วิธีใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ขจัดกลิ่นบนเสื้อผ้า

  1. นำน้ำสะอาด และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3% มาผสมในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน
  2. เอาผ้าที่มีกลิ่นอาหารติดใส่ลงไป
  3. ชุบน้ำให้ทั่วเนื้อผ้า และทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที
  4. ล้างออกด้วยน้ำเปล่า และนำเอาไปซักตามปกติ

5. วอดก้า

วอดก้า คือสิ่งที่สามารถช่วยฆ่าเชื้อโรค และแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี หากคุณมีวอดก้าติดบ้านเอาไว้ สามารถนำเอามาลดหรือขจัดกลิ่นอาหารติดเสื้อผ้าได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

วิธีใช้วอดก้าขจัดกลิ่นบนเสื้อผ้า

  1. นำน้ำสะอาดกับวอดก้ามาผสม ในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน จากนั้นนำไปใส่ขวดสเปรย์
  2. ฉีดสเปรย์ลงบนเสื้อผ้าบริเวณที่ต้องการกำจัดกลิ่น ไม่จำเป็นต้องฉีดจนเปียก
  3. แขวนเสื้อทิ้งเอาไว้ หากดมแล้วยังมีกลิ่นอยู่ ก็สามารถฉีดซ้ำได้

สรุปบทความ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีการกลิ่นอาหารติดเสื้อผ้า ที่เราได้รวบรวมนำเอามาเป็นแนวทางให้กับคุณในวันนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้ จะเป็นบทความที่มีประโยชน์สำหรับผู้อ่าน โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหาร หรือผู้ที่รับหน้าที่ในการซักเสื้อผ้า หากคุณกำลังเจอกับปัญหากลิ่นอาหารเกาะติดบนเสื้อผ้า สามารถนำเอาวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ได้เลย

Follow Us

TEL. 02-274-3434
EMAIL : webmaster@sbo-brand.com

The Signature Brand Co., Ltd. 
771 Pracha Uthit Road, Samsen Nok,Huai Khwang District, Bangkok 10310